นายเผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ในระดับ 50 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 61 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายทางบัญชีเพื่อให้สอดคล้องรายได้เป็นปีแรก โดยมีการตัดค่าเสื่อมของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 80% ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 19-20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจน่าจะพลิกฟื้นได้จากครึ่งปีแรกที่บริษัทมีผลขาดทุนราว 14 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 30% สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 27% เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิขายภาพยนต์ผ่านช่องเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มี 1 พันล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้ 554 ล้านบาท โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากการขายสิทธิภาพยนต์ผ่านช่องเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมไม่น้อยกว่า 46 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ส่วนนี้เพียง 19 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตของทีวีดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวี เดิมขายสิทธิให้กับแค่ทรูวิชั่นส์และช่อง 7 สี แต่ขณะนี้มีเคเบิลทีวีหลายรายเพิ่มเข้ามา ได้แก่ จีเอ็มเอ็มแซด เอ็มแชนแนล อาร์เอส ที่แสดงความจำนงขอซื้อสิทธิภาพยนตร์เก่า
ประกอบกับช่วงครึ่งปีหลังเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจภาพยนตร์ ซึ่งจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉาย 4 เรื่อง เชื่อว่าจะทำรายได้ให้กับบริษัทดีขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นก็ฯ่าจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
นายเผด็จ กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทตั้งงบลงทุน 200 ล้านบาทภายใต้บริษัท M39 ในการสร้างภาพยนตร์ทั้งปี 6 เรื่อง โดยครึ่งปีหลังจะสร้างภาพยนตร์อีก 3 เรื่องใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ประกอบด้วย เรื่อง"สาระแน"ซึ่งจับมือกับบริษัท ลักซ์ 666 และจะฉายในพ.ย.นี้, เรื่อง "คุณนายโฮ" ซึ่งมี แอน ทองประสม เป็นนางเอก ออกฉายในเดือน ธ.ค.นี้ และเรื่อง"คู่กรรม"ที่ได้ ณเดชน์ คูกิมิยะ มาเป็นพระเอกภาพยนตร์เป็นครั้งแรก คาดเข้าฉายช่วงวันวาเลนไทน์ปี 56 ซึ่งเรื่องคู่กรรมนี้ใช้งบลงทุนสร้างถึง 50 ล้านบาท และคาดหวังจะทำรายได้ถึง 100 ล้านบาท
บริษัทวางแผนปี 56 จะมีการสร้างภาพยนต์อีก 8 เรื่อง โดยจะลงทุนเอง 4-5 เรื่อง และดึงผู้กำกับภาพยนตร์ชั้นนำมาร่วมงานด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนเน็ทเวิร์คเพื่อนำเสนอผ่านช่องเคเบิลทีวี ใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มได้ในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาหาสตูดิโอใหม่ เพื่อทดแทนโซนี่สตูดิโอที่หมดสัญญาลงเมื่อไตรมาส 2/55 เชื่อว่าจะผลักดันรายได้ด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ให้เพิ่มขึ้นได้มากกว่าเดิม