นายสลิบ สูงสว่าง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไฮโดรเท็ค(HYDRO)กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอีกกว่า 2,000 ล้านบาท เช่น การประปาส่วนภูมิภาค นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น คาดว่าจะสามารถประมูลได้งานใหม่ประมาณ 70% ของงานทั้งหมดที่เข้าประมูล เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเรื่องเกี่ยวกับการทำระบบน้ำ ทั้งระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และรีไซเคิลน้ำ ในรูปแบบที่ครบวงจรเริ่มต้นตั้งแต่ออกแบบก่อสร้าง รวมถึงในการจัดสรรเทีโนโลยีที่นำสมัยมาใช้ในโครงกมาดังกล่าว จึงเชื่อว่าบริษัทมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม
สำหรับงานที่บริษัทมีอยู่ในมือขณะนี้ประมาณ 1,400 ล้านบาท และจะสามารถรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังนี้ประมาณ 600-700 ล้านบาท และที่เหลืออีกประมาณ 700 ล้านบาท จะสามารถรับรู้ได้อีกในปี 56 และคาดว่าหลังจากที่รัฐบาลประกาศงบประมาณใหม่ออกมาจะสามารถเข้าไปประมูลได้อีก 600-700 ล้านบาทเช่นกัน
ในปีนี้บริษัทจะตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ และคาดว่าในช่วงสิ้นปีจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โต 50% เมื่อเทียบกับปี 54 ที่มีรายได้รวม 691 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าคาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200-1,300 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ในครึ่งแรกของปี 55 บริษัททำรายได้ 369 ล้านบาท เป็นรายได้จากงานออกแบบที่รับรู้รายได้ได้น้อย แต่ในครึ่งปีหลังจะมีงานก่อสร้างและติดตั้งเข้ามา ซึ่งจะรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท จึงคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยคาดว่าไตรมาส 3/55 จะมีรายได้ประมาณ 350 ล้านบาท และในไตรมาส 4/55 จะมีเครื่องจักรเข้ามาเพิ่ม ซึ่งจะทำให้รายได้เพิ่มเข้ามามากในช่วงต้นไตรมาส 4/55
ประกอบกับ ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 1,427 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังนี้ประมาณ 600-700 ล้านบาท และที่เหลือจะไปรอรับรู้ในปี 56 ขณะที่สิ้นปี 54 มี Backlog อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท พร้อมกันนั้นบริษัทยังจะเข้าประมูลงานใหม่ในครึ่งปีหลังเพิ่มมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท อาทิ การประปาส่วนภูมิภาค นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น คาดว่าจะสามารถได้งานใหม่ประมาณ 60-70% ของงานทั้งหมดที่เข้าประมูล จะรู้ผลการประมูลในเดือน ต.ค.-ธ.ค.55
นายสลิบ กล่าวว่า ด้านงานในต่างประเทศเช่น พม่า และประเทศลาว ยังอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาและระบบบำบัดน้ำเสียรวม ในเขตอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เป็นประเทศที่มีความต้องการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งในส่วนของน้ำประปา และการดูแลเรื่องระบบบำบัดน้ำเสีย โดยเฉพาะในประเทศพม่าที่ขณะนี้เกิดความตื่นตัวในการเปิดประเทศ เปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้าไปลงทุนเพิ่มมากขึ้น "ปัจจุบันบริษัทกำลังเจรจากับรัฐบาลพม่าในการลงทุนระบบผลิตน้ำประปา และระบบบำบัดน้ำเสีย โดยเน้นในนิคมอุตสาหกรรมของพม่าเป็นหลัก ที่ยังขาดแคลนน้ำใช้ในภาคการผลิต คาดมูลค่ารวมโครงการ 1,000 ล้านบาท จะได้ข้อสรุปชัดเจนในสิ้นปี 55 และจะเริ่มลงทุนจริงในปี 56 แต่ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเสนอ Final proposal อีก 1-2 เดือนจะทราบผลที่แน่ชัด"นายสลิบ กล่าว นายสลิบ กล่าวอีกว่า บริษัทมองการเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจ เพราะธุรกิจของบริษัทเปิดมานานแล้ว และคู่แข่งจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็มีราคาที่สูงกว่า ฉะนั้น บริษัทจะได้เปรียบในการเข้าไปเจาะตลาดใน ลาว กัมพูชา และ พม่า