นายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟ็ค(PF) เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัดสินใจขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศและต่างจังหวัด โดยบริษัทใช้งบลงทุนราว 770 ล้านบาทซื้อโครงการสกีรีสอร์ท Kiroro ในเมืองซับโปโร ประเทศญี่ปุ่น จาก Mitsui Fudosang บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น โดยมีแผนนำที่ดิน Free Hold ของโครงการมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและวิลล่าเพื่อจำหน่าย โครงการจะมีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะมีสกีเป็นจุดขาย นอกเหนือจากรายได้สกีรีสอร์ท 2 แห่ง 1,200 ล้านบาท/ปี
"โครงการสกีรีสอร์ทนี้ถือเป็นโครงการแรกที่บริษัทไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะมองว่าญี่ปุ่นมีศักยภาพในด้านของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี และเป็นประเทศที่มีการลงทุนในประเทศไทย การลงทุนในญี่ปุ่นคาดว่าจะคืนทุนได้เร็ว หรือในปี 2016"นายชายนิด กล่าว
สำหรับการพัฒนาพื้นที่ Free Hold ขนาด 292 ไร่ คาดว่าจะมีมูลค่าโครงการราว 3 พันล้านบาท แบ่งเป็นโรงแรม 2 แห่งไม่เกิน 100 ไร่ ส่วนที่เหลือพัฒนาเป็นวิลล่า 50-60 ยูนิต คอนโดมิเนียม 12 อาคาร สูงไม่เกิน 10 ชั้น จำนวน 50 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 56 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 57 ส่วนกิจการสกีรีสอร์ท Kiroro ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้า 93% เป็นคนในท้องถิ่น ส่วน 7% เป็นชาวต่างชาติ โดยหลังจากที่บริษัทเข้าไปลงทุนก็จะมีการปรับสัดส่วนเพิ่มลูกค้าชาวต่างชาติให้เป็น 30%
แผนบริหารจัดการ Kiroro สกีรีสอร์ท เบื้องต้นจะมีบริษัท กรีนเฮ้าส์ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งร่วมทุนกับกลุ่มสหพัฒน์ดำเนินธุรกิจภัตตาคารซาโบเตนในประเทศไทย เข้ามาเป็นผู้บริหารงานโรงแรม โดยกรีนเฮ้าส์มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหารและการบริหารโรงแรม นอกจากนั้นจะมีการนำเชนที่มีชือ่เสียงเข้ามาบริหารโรงแรม มีการจัดวางมาสเตอร์แพลนใหม่ และนำโรงแรมบางส่วนมาทำเป็นคอนโดเทล และพัฒนาในรูปแบบไทม์แชร์ หรือการขายสิทธิเข้าพัก
นายชายนิด กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และหัวหิน โดยกลยุทธหลักคือเลือกที่ดินที่มีจุดเด่น และเป็น Limited Supply ที่มีอยู่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นทีดินติดภูเขา หรือที่ดินติดทะเล
โครงการในเชียงใหม่จะพัฒนาเป็นหอพักและที่อยู่อาศัยแนวราบใกล้เซ็นทรัลแห่งใหม่ เนื้อที่ประมาณกว่า 50 ไร่ ขนาด 200 ยูนิต ราคา 3-5 ล้านบาท/ยูนิตเน้นลูกค้าระดับกลาง คาดว่าจะเปิดตัวช่วงต้นปี 56 มูลค่าโครงการราว 600 ล้านบาท, โครงการหัวหิน เนื้อที่ 12 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม 200-300 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการราว 1,200 ล้านบาท และโครงการที่ภูเก็ต อยู่ระหว่างการเลือกที่ดินติดทะเล 2-3 แปลง มูลค่าโครงการไม่เกิน 2 พันล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมและวิลล่า
แนวโน้มด้านรายได้นั้น คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการในต่างประเทศและต่างจังหวัดภายในปีหน้า ซึ่งมีจำนวน 1,200 ล้านบาท และ 300 ล้านบาทตามลำดับ รวมเป็น 1,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9% ของรายได้รวมในปี 56 ที่คาดว่าจะทำได้ 17,000 ล้านบาท ส่วนในปี 57 คาดว่ารายได้จากโครงการในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 2 พันล้านบาท และต่างจังหวัดอีก 2 พันล้านบาท รวมเป็น 4 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากการพัฒนาโครงการอสังหาฯใหม่ในญี่ปุ่นคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 57
ส่วนผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 พันล้านบาท ส่วนในปี 56 จะมีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศและต่างจังหวัดเพิ่มเข้ามา จะทำให้โครงสร้างรายได้ปรับไปเป็นบ้านเดี่ยว 9.5 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 พันล้านบาท ต่างประเทศ 1.2 พันล้านบาท ต่างจังหวั 300 ล้านบาท
นายชายนิด กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเฉลี่ยช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ไว้ที่ 3-3.5 พันล้านบาท/ปี แต่ยังไม่มีแผนระดมทุนครั้งใหญ่ นอกเหนือจากการออกหุ้นกู้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ เนื่องจากบริษัทมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดในปี 55-56 ทำให้มีกำไรและรายได้เข้ามามากพอสมควร เพียงพอที่จะใช้ลงทุน และบริษัทก็ยังไม่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีกจนถึงปี 57