นางสาวชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย เอ็น ดี ที (TNDT)เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเงินลงทุนหลักร้อยล้านบาทเพื่อลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)โดยหวังว่าจะสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/55 และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 56
ในวันนี้บริษัทจะเข้าหารือกับก.ล.ต.เรื่องการทำธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่งานตรวจสอบซึ่งเป็นงานหลักของบริษัท ธุรกิจที่เล็งไว้เป็นด้านสาธารณูปโภค โดยในต่างประเทศมองที่ประเทศพม่าก่อน ถัดไปเป็นประเทศลาว หากไม่มีข้อติดขัดคาดว่าจะรู้ผลและเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 3/55 นี้ และจะไปรับรู้รายได้ในปี 56 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจใหม่ 50% และงานตรวจสอบ 50% ยินดีเปิดรับพันธมิตรเข้ามาร่วมด้วย
บริษัทมีนโยบายความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการเพิ่มธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีโอกาสสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ และศึกษาความเหมาะสม ซึ่งบริษัทมีความพร้อมสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรับมือกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 ได้เป็นอย่างดี
"ที่กล้าคิดทำธุรกิจอื่น เพราะ TNDT มั่นคงแล้ว และรองรับเออีซีใน 3 ปีข้างหน้าด้วย"นางสาวชมเดือน กล่าว
นางสาวชมเดือน เปิดเผยอีกว่า TNDT ยังคาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังรายได้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้จะเติบโต 10% โดยรับรู้รายได้จากงานในมือ(backlog)ที่มีอยู่แล้ว 150 ล้านบาท และเตรียมประมูลงานใหม่อีกหลายโครงการราว 180 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานราว 90 ล้านบาท ยังไม่รวมมูลค่างานที่ได้รับจากลูกค้าประจำ ซึ่งจะทำให้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/55 สูงกว่าไตรมาส 2/55 ที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก
ในแง่ของธุรกิจหลักบริษัทได้รับงานของกลุ่มปตท.เป็นงานโครงการ 5 ปี ซึ่งจะหนุนแบล็กล็อก 150 ล้านบาท/ปี ได้ในระยะ 5 ปี
ทั้งนี้ บริษัทรายงานผลประกอบการประจำงวดไตรมาส 2/55 เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิในงบเฉพาะกิจการ จำนวน 19.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 14.28 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.55) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 29.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 29.29 ล้านบาท เป็นผลมาจากมีปริมาณงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้เพิ่มความรัดกุมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายจึงส่งผลให้สัดส่วนรายรับต่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นดังกล่าว