บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี(STA)ผู้ผลิตยางรายใหญ่ คาดครึ่งปีหลังจะพลิกกลับมีกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/55 จากช่วงครึ่งปีแรกมีผลขาดทุน 43.89 ล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 2/55 ขาดทุนถึง 441.36 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังจะมีปริมาณขายประมาณ 5.2 แสนตัน จาก 4.8 แสนตันในครึ่งปีแรก และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็นกว่า 4-5% จาก 2.7% ในไตรมาส 2/55 ทั้งปีคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเฉลี่ยที่กว่า 3% และคาดว่าปี 56 ปริมาณขายจะเติบโต 10% จากปีนี้ทำได้ 1 ล้านตัน
นายกิติชัย สินเจริญกุล กรรมการบริหาร STA กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าทั้งปี 55 จะมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.33 แสนล้านบาท หรือลดลง 25% โดยครึ่งปีแรกมีรายได้ 5.4 หมื่นล้านบาท ก็คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้ ประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท
สาเหตุสำคัญจากราคายางปรับตัวลงต่อเนื่องจากช่วงต้นปีจนถึงขณะนี้ปรับลงมากกว่า 40% แล้ว โดยราคายางแท่ง (TSR)ในตลาดโลกอยู่ที่ราคา 2.6-2.7 พันเหรียญ/ตัน จากปีก่อนที่มีราคาเกิน 4 พันเหรียญ/ตัน
รวมทั้งการเข้าแทรกแซงของรัฐบาลด้วยการรับซื้อยางแผ่น ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ และบริหารจัดการยากจากที่มีต้นทุนสูงขึ้น เป็นส่วนหนึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท โดยขณะนี้รัฐบาลได้ปรับราคารับซื้อลงมาที่ 100 บาท/กก.จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 120 บาท/กก. ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 80 กว่าบาท/กก.
ดังนั้น บริษัทปรับกลยุทธ์หันมาผลิตและขายยางแท่งมากขึ้นจากสัดส่วน 70% เป็น 80% ในปัจจุบัน และปรับลดสัดส่วนยางแผ่น และน้ำยางข้นลง จากที่มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ละ 15% เพราะยางแท่งยังเป็นที่ต้องการตลาดโลก คาดว่าปีนี้จะมีความต้องการประมาณ 11.2 ล้านตัน ขณะที่คาดว่าอุปทาน(Supply)อยู่ที่ 11.3 ล้านตัน โดย 30% ไปตลาดจีน
"เราก็ต้องหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ชนกับรัฐบาลที่รับซื้อยางแผ่น เราฉีกออกไปทำยางแท่งกับน้ำยางข้น ลดยางแผ่นลงที่ตรงกับรัฐบาล แข่งด้วยไม่ได้ เราต้องเลือกผลิตสินค้าที่ไม่รับผลกระทบกับการแทรกแซงราคาของรัฐบาล ทำยางแท่งเพิ่ม...ตอนนี้ราคาลงมาระดับหนึ่ง แล้วก็มีข่าวว่าไทยจะร่วมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย จะลดปริมาณส่งออกและลดซัพพลาย ในแง่จิตวิทยาเป็นผลดีระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงดูดีมานด์ซัพพลาย"นายกิติชัย กล่าว
นายกิติชัย ยอมรับว่า ความต้องการยางในตลาดโลกลดลงจริง แต่คาดว่าไม่เกิน 10% ของปริมาณยางธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ความต้องการยางนำไปผลิตยางล้อรถยนต์ยังมีต่อเนื่อง และจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี แม้จะชะลอลงบ้าง
"ดีมานด์ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัย ยอมรับว่าดีมานด์ลดลง แต่ถ้าเทียบกับราคาที่ลดลง ไม่ได้ลดเป็นสัดส่วนที่เท่ากันเลย คือดีมานด์ไม่ได้ลดมากมาย โดยราคายางเฉลี่ยลงมา 40-50% จากที่เคย peak ในช่วงครึ่งแรกปี 54 ส่วนหนึ่งดีมานด์ลดลงจากจิตวิทยา แต่ส่วนผมคิดว่าความต้องการลดลงไม่เกิน 10%"นายกิติชัย กล่าว
นายกิติชัย คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคายางจะไม่ลดลงรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา และพอระดับราคาปรับลงมากสู่ระดับจูงใจแล้วก็จะช่วยผลักดันปริมาณการขาย จึงคาดว่าปริมาณขายในครึ่งปีหลังทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เช่นเดัยวกับผลประกอบการครึ่งปีหลังทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก และยังเชื่อว่าความต้องการยางจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ สัดส่วน 37% สหรัฐ 10% ยุโรป 7% ประเทศอื่นในเอเชีย 27% และในไทย 18%
*ครองเบอร์ 1 ตลาดโลกเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 15% ในปี 57
กรรมการบริหาร STA กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่งเพิ่มเป็น 1.5 ล้านตันภายในปี 57 จากปีนี้คาดวาจะมีกำลังการผลิต 1.1-1.2 ล้านตัน โดยในปี 56-57 บริษัทจะใช้งบลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านบาทเพื่อสร้างโรงงานใหม่อีก 3-4 แห่ง เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท/โรงงาน เพื่อให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 15% ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดโลก จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 9%
ในปีนี้บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิต 2 แสนตัน โดยเพิ่มจากในไทย 1 แสนตันที่โรงงานยางแท่งที่จ.อุดรธานี และ ในอินโดนีเซียอีก 1 แสนตัน ที่โรงงานยางแท่งในเมืองปาเล็มบัง
"ในปี 56 เรา aim ไว้ต้องเติบโตขึ้น ฉะนั้นในปีหน้าปริมาณขายเราน่าจะโต 10% และเราก็มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น"นายกิติชัย กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 57 บริษัทตั้งเป้ามีพื้นที่ปลูกต้นยางครบ 5 หมื่นไร่ จากสิ้นไตรมาส 2/55 มีที่ดินแล้ว 1.8 หมื่นไร่ ส่วนใหญ่อยู่ภาคเหนือ ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าการลงทุนโครงการต้นน้ำจะคุ้มค่าเงินลงทุน 5-6 พันล้านบาท เพราะต้นยางเมื่อปลูก 7 ปีก็สามารถกรีดยางได้ตลอด 30 ปี
อย่างไรก็ตาม ปริมาณยางที่บริษัทปลูกมีไม่มากเมื่อเทียบกับผลผลิตทั้งประเทศที่มี 3 ล้านตันต่อปี แต่จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับชาวสวนยาง และลดการพึ่งพายี่ปั้ว-ซาปั้วที่รวบรวมยางขายให้กับบริษัท