นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) ผู้นำตลาด LPG ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก คาดว่าผลการดำเนินงานของ SGP ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยยังคงยืนยันเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 50,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนการขายภายในประเทศอยู่ที่ 50% และต่างประเทศอีก 50% ของรายได้รวม
เนื่องจากทิศทางราคาแก๊สแอลพีจีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 มีสัญญาณการปรับราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจน หลังราคาแก๊สในตลาดโลกช่วงเดือนกันยายนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 950 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับราคาแก๊สในช่วงไตรมาส 2 ที่มีราคาเฉลี่ย 856 เหรียญสหรัฐต่อตัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า แนวโน้มราคาแอลพีจีในไตรมาส 4/55 ที่เข้าสู่ฤดูหนาวจะมีปริมาณความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อราคาแก๊สในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยอาจจะทะลุ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตันได้
จากแนวโน้มราคาแก๊สดังกล่าว ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ SGP ในช่วงครึ่งปีหลังในแง่ของยอดขายและกำไรที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ลักษณะการบริหารคลังแก๊สในประเทศจีนนั้น บริษัทฯ ยังระมัดระวังการสั่งซื้อแก๊สเพื่อมาจัดเก็บเพื่อสร้างความยืดหยุ่นด้านการบริหารสต๊อก โดยเน้นให้เพียงพอต่อการขายมากกว่าการเพิ่มปริมาณแก๊สในคลังเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้แก๊สในช่วงนี้ยังไม่สูงมากนัก เพราะยังไม่เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวจริง
"ราคาแก๊สตลาดโลกกลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายน ราคาขยับมาอยู่ที่ 950 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม เราคงยังระมัดระวังการซื้อแก๊ส โดยเน้นให้เพียงพอต่อการการขายเท่านั้น เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงที่มีความต้องการใช้แก๊สในปริมาณมากจริง ซึ่งรูปแบบบริหารดังกล่าว เรามั่นใจว่าจะช่วยทำให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องต่อความต้องการที่แท้จริงมากกว่า" นางจินตณา กล่าว
จากการรุกทำตลาดในช่วงที่ผ่านมา พบว่าความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีในตลาดเอเชียยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งนอกจากบริษัทฯ จะมีความพร้อมในเรื่องของคลังขนาดใหญ่ในจีนที่สามารถส่งแก๊สออกไปขายในประเทศใกล้เคียงแล้ว บริษัทฯ ยังมีความพร้อมด้านการจัดส่งแก๊สที่มีเรือขนส่งแก๊สขนาดใหญ่หรือ VLGC ซึ่งเป็นคลังแก๊สลอยน้ำ เพื่อป้อนความต้องการให้กับลูกค้าในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้านการขนส่ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณส่งออกแก๊สเป็น 7.5 แสนตันต่อปี หรือเฉลี่ย 6.25 ตันต่อเดือน
ส่วนตลาดภายในประเทศนั้น บริษัทฯ มองว่ายังมีความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้ทยอยลอยตัวราคาแก๊สภายในประเทศเพิ่มขึ้น มีผลให้ราคาขายแก๊สแอลพีจีในเดือนกันยายนภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 29 บาทต่อกิโลกรัม ภาคขนส่ง 13 บาทต่อลิตร ขณะที่ภาคครัวเรือนยังคงตรึงราคาอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้รายได้จากการจำหน่ายแก๊สในตลาดต่างประเทศใกล้เคียงกับรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายแก๊สในประเทศมากขึ้น