นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์(SGP)คาดว่า กำไรในปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 994 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะมีกำไรเพียง 293 ล้านบาท แต่ผลประกอบการครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเชื่อว่าไตรมาส 3/55 จะพลิกเป็นกำไรจากไตรมาส 2/55 ที่ขาดทุน เพราะจะไม่มี stock loss อีกแล้ว ประกอบกับที่บริษัทได้ตั้งวงเงินเป็นค่าเผื่อสินค้าด้อยค่าในไตรมาส 2/55 จำนวน 200 กว่าล้านบาทน่าจะบันทึกกลับมาเป็นกำไรในไตรมาสนี้ อีกทั้งแนวโน้มราคา LPG ไตรมาส 4/55 น่าจะเป็นขาขึ้นก็น่าจะทำให้ปีนี้กำไรน่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่ 994 ล้านบาท จากครึ่งแรกกำไร 293 ล้านบาท
บริษัทตั้งเป้ารายได้ 50,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน ภายใต้ปริมาณขาย 2.3 ล้านตัน ราคาเฉลี่ยแอลพีจีที่ 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยครึ่งแรกราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 946 เหรียญสหรัฐ/ตัน มีปริมาณขายราว 9 แสนตัน ทำรายได้แล้ว 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะขายได้อีก 1.4 ล้านตัน แนวโน้มยอดขายดีกว่าครึ่งปีแรก และราคาก็น่าจะดีกว่าเพราะเดือน ก.ย.55 ราคาก๊าซปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 950 เหรียญสหรัฐ/ตัน และมีโอกาสทะลุ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตันในไตรมาส 4/55
"ครึ่งหลังที่กังวลเรื่องความเหวี่ยงของราคาแอลพีจี เพราะปัจจัยราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจทั้งยุโรป สหรัฐ จีน เรื่องวอลุ่มขายไม่ห่วงเพราะความสามารถในการทำตลาดดี โดยยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ปัจจัยขายไม่สำคัญเพราะซื้อมาขายไปก็จบได้มาร์จิน แต่ติดเรื่องการบริหาร inventery จะทำยังไงให้อยู่ในฐานะที่เราได้เปรียบ ซึ่งเราพยายามบริหารตรงนี้อยู่"นางจินตณา กล่าว
นางจินตณา กล่าวว่า ทิศทางราคาแอลพีจีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 มีสัญญาณการปรับราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจน หลังราคาแก๊สในตลาดโลกช่วงเดือนกันยายนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 950 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับราคาแก๊สในช่วงไตรมาส 2 ที่มีราคาเฉลี่ย 856 เหรียญสหรัฐต่อตัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า แนวโน้มราคาแอลพีจีในไตรมาส 4/55 ที่เข้าสู่ฤดูหนาวจะมีปริมาณความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อราคาแก๊สในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยอาจจะทะลุ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตันได้
จากแนวโน้มราคาแก๊สดังกล่าว ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ SGP ในช่วงครึ่งปีหลังในแง่ของยอดขายและกำไรที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ลักษณะการบริหารคลังแก๊สในประเทศจีนนั้น บริษัทฯ ยังระมัดระวังการสั่งซื้อแก๊สเพื่อมาจัดเก็บเพื่อสร้างความยืดหยุ่นด้านการบริหารสต๊อก โดยเน้นให้เพียงพอต่อการขายมากกว่าการเพิ่มปริมาณแก๊สในคลังเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้แก๊สในช่วงนี้ยังไม่สูงมากนัก เพราะยังไม่เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวจริง
"ราคาแก๊สตลาดโลกกลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายน ราคาขยับมาอยู่ที่ 950 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม เราคงยังระมัดระวังการซื้อแก๊ส โดยเน้นให้เพียงพอต่อการการขายเท่านั้น เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงที่มีความต้องการใช้แก๊สในปริมาณมากจริง ซึ่งรูปแบบบริหารดังกล่าว เรามั่นใจว่าจะช่วยทำให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องต่อความต้องการที่แท้จริงมากกว่า" นางจินตณา กล่าว
จากการรุกทำตลาดในช่วงที่ผ่านมาพบว่าความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีในตลาดเอเชียยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งนอกจากบริษัทฯจะมีความพร้อมในเรื่องของคลังขนาดใหญ่ในจีนที่สามารถส่งแก๊สออกไปขายในประเทศใกล้เคียงแล้ว บริษัทฯ ยังมีความพร้อมด้านการจัดส่งแก๊สที่มีเรือขนส่งแก๊สขนาดใหญ่หรือ VLGC ซึ่งเป็นคลังแก๊สลอยน้ำ เพื่อป้อนความต้องการให้กับลูกค้าในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้านการขนส่ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณส่งออกแก๊สเป็น 7.5 แสนตันต่อปี หรือเฉลี่ย 6.25 ตันต่อเดือน
ส่วนตลาดภายในประเทศนั้น บริษัทฯ มองว่ายังมีความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้ทยอยลอยตัวราคาแก๊สภายในประเทศเพิ่มขึ้น มีผลให้ราคาขายแก๊สแอลพีจีในเดือนกันยายนภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 29 บาทต่อกิโลกรัม ภาคขนส่ง 13 บาทต่อลิตร ขณะที่ภาคครัวเรือนยังคงตรึงราคาอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้รายได้จากการจำหน่ายแก๊สในตลาดต่างประเทศใกล้เคียงกับรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายแก๊สในประเทศมากขึ้น โดยสัดส่วนการขายของบริษัทเป็นการขายภายในประเทศ 50% และต่างประเทศอีก 50% ของรายได้รวม