นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซียไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคาหุ้นละ 3.50 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E Ratio) ที่ 11.77 เท่า อีกทั้งการกำหนดราคาดังกล่าวยังมีส่วนลดให้กับนักลงทุนผู้จองซื้อถึง 34.32% เมื่อเทียบกับราคา P/E ตลาดหลักทรัพย์ mai ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค. 55 มีค่าเท่ากับ 17.92 เท่า
ฟอร์จูน พาร์ทฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 63 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 21.36 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชน 60 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 20.34 และเสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทจำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 1.02
ทั้งนี้ เตรียมเปิดจองซื้อหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 10-12 ก.ย.55 ก่อนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 20 ก.ย. 55 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายคือ FPI
"ราคาขายหุ้น IPO ของ FPI ที่ 3.50 บาทต่อหุ้น ถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของธุรกิจยานยนต์ที่ยังมีอนาคตสดใส อีกทั้งยังมีดิสเคาน์ให้นักลงทุนประมาณ 34.32% ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่า หุ้น FPI จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน หลังจากที่ได้เดินทางโรดโชว์มา 3 จังหวัด คือ หาดใหญ่ เชียงใหม่และ กรุงเทพ ปรากฎมีผู้เข้าร่วมรับฟังข้อมูลเป็นจำนวนมาก" นายสมภพ กล่าว
ด้านนายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ FPI กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายโรงงานและคลังสินค้า ซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม คืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยในส่วนการขยายโรงงานและคลังสินค้า ในปี 55 จะมีการพัฒนาพื้นที่ 6,400 ตร.ม. สร้างเป็นอาคารโรงงาน และปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้สามารถรับน่ำหนักแม่พิมพ์เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงโครงหลังคาให้มีความแข็งแรงทนทาน และปี 56 มีแผนจะสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าบนพื้นที่ 4,000 ตร.ม. และคลังสินค้าบนพื้นที่ 8,000 ตร.ม. 3 ชั้น รวมแล้วจะทำให้มีพื้นที่จัดเก็บสินค้าเพิ่มมากขึ้น จาก 4,800 ตร.ม. เป็น 72,000 ตร.ม. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50
ในด้านการเพิ่มกำลังการผลิต FPI มีแผนจะซื้อเครื่องฉีด 5 เครื่อง โดยแบ่งเป็นเครื่องฉีดกันชน จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตกลุ่มกันชนเพิ่มขึ้นจากปี 54 อีกจำนวน 76 ตัน/เดือน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เป็น 276 ตัน/เดือน และซื้อเครื่องฉีดกลุ่มกระจังหน้า ขนาด 600-1,000 ตัน จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 55 จำนวน 72 ตัน/เดือน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 หรือเพิ่มจาก 193 ตัน/เดือน เป็น 265 ตัน/เดือน
นอกจากนี้ จะมีการลงทุนสายการผลิตชุบ เพื่อติดตั้งระบบระบายอากาศ เพื่อลดปัญหาฝุ่นในการผลิตที่ส่งผลต่อคุณภาพสินค้า และปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลงทุนในเครื่องมือวัดเพื่อตรวจวัดคุณภาพผลิตภัณฑ์ (CMM) จำนวน 1 เครื่อง
นายสมพล กล่าวว่า FPI ถือเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นผู้นำในธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ทดแทนที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้ากว่า 110 ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 20%ต่อปี ซึ่งที่ผ่านมา ผลประกอบการ FPI เติบโตต่อเนื่องและแข็งแกร่ง มีรายได้รวม 955.4 ล้านบาท ในปี 52 ก่อนเพิ่มเป็น 1,197.44 ล้านบาทในปี 53 และ 1,300.37 ล้านบาทในปี 54 ส่วนงวด 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 735.38 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัท 35.11 ล้านบาทในปี 52 , ปี 53 มี 26.61 ล้านบาท ก่อนเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดมาอยู่ท 63.43 ล้านบาทในปี 54 และงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิเมเป็น 62.93 ล้านบาท