นายสุพล วัธนเวคิน ประธานกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคิน(KK)กล่าวว่า ภายหลังการร่วมกิจการเกียรตินาคิน-ภัทร จะดำเนินธุรกิจหลักสองด้าน ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุน จากเดิมที่ธนาคารทำธุรกิจลูกค้าบุคคลเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจของภัทรจะเน้นที่ธุรกิจสถาบัน ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ วานิชธนกิจ และการลงทุน
ภายหลังการร่วมกิจการ กลุ่มธุรกิจฯ จะมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ภายใต้การนำของนายบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการธนาคารให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะอยู่ภายใต้การดำเนินการของนายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล (ประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และกรรมการผู้จัดการใหญ่) ในขณะที่ธุรกิจตลาดทุนจะอยู่ภายใต้การดำเนินการของนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ (ประธานธุรกิจตลาดทุนและกรรมการผู้จัดการใหญ่) โดยทั้งนายธวัชไชยและนายอภินันท์จะรายงานตรงต่อนายบรรยงและร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด
ในวันนี้ เกียรตินาคิน-ภัทร แจ้งว่า การร่วมกิจการของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัท ทุนภัทร จำกัด แล้วเสร็จมีผลตามกฎหมายในวันที่ 13 กันยายน 2555 และจากนี้ไปธนาคารและภัทร ซึ่งรวมเรียกว่า “กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร" พร้อมเดินหน้า รุกธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนอย่างเต็มรูปแบบ
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KK กล่าวว่า ภารกิจสำคัญเริ่มแรก คือการประสาน หล่อหลอมและปรับตัวเข้าหากัน ในทุกด้านเพื่อกำหนด “หลักการ-รูปแบบ-วิธีการ-วัฒนธรรม" ร่วมกันของ "เกียรตินาคิน-ภัทร" ให้เป็นหลักเริ่มต้นของการพัฒนาองค์กรสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จะต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้ดี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมและการแข่งขันในอนาคต
“ภายหลังการร่วมกิจการ กลุ่มธุรกิจฯ จะมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อการกระจายรายได้ที่ดี เพิ่มความมีเสถียรภาพของผลประกอบการ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจฯ โดยในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ภายใต้การดูแลของนายธวัชไชย จะมีการปรับปรุงจุดยืนและทิศทางการดำเนินธุรกิจ มีการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มสายธุรกิจใหม่ที่เห็นว่ามีโอกาสทางธุรกิจที่ดี เพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านกลยุทธ์การพัฒนาเครือข่ายและการระดมเงินฝากของธนาคารก็จะต้องสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของธุรกิจและกลยุทธ์ขององค์กรในภาพรวม อีกทั้งจะบริหารจัดการต้นทุนการปฏิบัติงานและต้นทุนทางการเงินขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างสมดุล
สำหรับด้านธุรกิจตลาดทุน ภายใต้ความรับผิดชอบของนายอภินันท์ จะครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคล โดยมุ่งเน้นที่จะขยายขอบเขตและขนาดการดำเนินธุรกิจ โดยใช้ทรัพยากรของกลุ่มธุรกิจฯ ที่เกิดจากการร่วมกิจการ อันได้แก่ จำนวนลูกค้าร่วม เงินกองทุน องค์ความรู้และฐานข้อมูล ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ เครือข่ายสาขา ซึ่งจะส่งผลให้มีการเพิ่มขอบเขตการประกอบธุรกิจตามใบอนุญาตที่มีอยู่ให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการให้บริการ"