HOTPOT ปิดเทรดวันแรกที่ 3.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท(+35.71%)จากราคาขาย IPO ที่ 2.80 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 673.74 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 3.90 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 4.00 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.70 บาท
บล.เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯกำหนด Fair Value หุ้น บมจ.ฮอทพอท(HOTPOT) อิง PER ระดับ 14 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PER ของ SET Index จะให้มูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 3.06 บาท และเพิ่มเป็น 3.44 บาทสำหรับปี 2556
ทั้งนี้ HOTPOT ได้อานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อในการบริโภคมากขึ้น เมื่อบวกกับการสร้างรายได้เต็มที่ของร้านไดโดมอน และการขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่มอีก 21 สาขาในงวด 2H55 (ตามเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 30 สาขา โดยเปิดไปแล้ว 9 สาขาในงวด 1H55) รวมถึงจากการปรับขึ้นราคาขายตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา คาดจะส่งผลบวกเต็มที่ต่อยอดขายงวด 2H55
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนกิจการไดโดมอนที่จะลดลง น่าจะส่งผลให้แนวโน้ม 2H55 เติบโตมากขึ้นจากงวด 1H55 ที่มีกำไร 32 ล้านบาท และผลักดันให้ทั้งปี 2555 มีกำไรสุทธิ 78.8 ล้านบาท เติบโต 98% จากปี 2554 และต่อเนื่อง 26.5% เป็น 99.7 ล้านบาทในปี 2556 จากการเติบโตของร้านอาหารเดิม และขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่ม 20 สาขาต่อปี ขณะที่ EPS ซึ่งรวมผลกระทบจากการเพิ่มทุนแล้ว ยังเติบโต 89% ในปี 2555 และ 12% ในปี 2556 อยู่ที่ 0.22 บาท/หุ้น และ 0.25 บาท/หุ้น ตามลำดับ
HOTPOT ดำเนินธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ ภายใต้แบรนด์หลัก "ฮอท พอท" ที่เน้นอาหารประเภทสุกี้ ชาบู และต่อมาได้ต่อยอดธุรกิจผ่านการซื้อและรับโอนกิจการไดโดมอน ซึ่งเป็นร้านบุฟเฟต์แนวปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. 2554 จำนวน 25 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้นงวด 1H55 มีสาขาร้านอาหารภายใต้การดำเนินงานเพิ่มเป็น 126 สาขา จากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารที่ปกติมีอัตราการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของ GDP ประมาณ 3 เท่าตัว ส่งผลให้ HOTPOT มีการเติบโตของร้านอาหารเดิมเฉลี่ย 15-20% ต่อปี เมื่อรวมกับการขยายสาขาใหม่ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง คาดจะผลักดันให้ยอดขายรวมของ HOTPOT เติบโตเฉลี่ยปีละ 33% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ปี 2555-2556)