หุ้น FPI ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 9.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท(+171.43%)จากราคาขาย IPO ที่ 3.50 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,080.07 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 8.50 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 9.80 บาท และราคาลงต่ำสุด 8.20 บาท
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) กล่าวว่า ราคาที่เปิดเทรดวันแรกถือว่าแรงเกินกว่าที่คาด เพราะนักลงทุนมองอนาคตของอุตฯยานยนต์สดใส จากยอดผลิตรถยนต์ในไทยปีนี้เติบโตเป็น 2 ล้านคัน สูงกว่าปีก่อนที่มียอดผลิต 1.4 ล้านคัน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
ธุรกิจของบริษัทแตกต่างจากผู้ผลิตชิ้นส่วนรายอื่นๆ เพราะผลิตทั้งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ภายใต้สินค้าของค่ายรถยนต์ต่างๆ (OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ทดแทน (REM) ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญต่อการจับตลาดทั้ง OEM และ REM ประกอบกับ บริษัทไม่ได้พึ่งพาตลาดในประเทศ แต่ให้ความสำคัญกับตลาดส่งออก โดยมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 87% และจำหน่ายในประเทศ 13%
ส่วนข้อพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าของบริษัท เพราะมองตลาดทั่วโลก รวมไปถึงยุโรปและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอเมริกาใต้เป็นตลาดที่ใหญ่มากการ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น บราซิลจะมีจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกและกีฬาโอลิมปิก น่าจะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมต่าง ๆมีการเติบโตได้มาก ขณะที่เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ก็จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตได้อีกมาก
บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 55 เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,300 ล้านบาท และใน 3 ปีข้างหน้าก็คาดว่าจะเติบโตได้ปีละ 20% เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO จะนำไปลงทุนในด้าน R&D เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น กระจังหน้ารถยนต์เพื่อไม่ให้เหมือนคนอื่น และไม่เหมือนกับสินค้า OEM ซึ่งเชื่อว่าจะทำกำไรได้มากขึ้น รวมทั้งลงทุนเครื่องจักรสำหรับฉีดพลาสติก 50 ล้านบาท สร้างอาคารสำนักงาน จ้างทีมผู้บริหารใหม่เข้ามาเสริม สร้างโกดังสินค้าและโรงงานเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น