ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดตลาดอ่อนตัวลงในวันนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากเยอรมนีเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจลดลง และรายงานที่ว่าเยอรมนีและฝรั่งเศสมีความคิดเห็นที่ขัดแยังกันเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าควรจะอนุมัติให้มีการใช้ระบบสหภาพการธนาคารในยูโรโซนเมื่อใด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า กลุ่มผู้ผลิตของจีนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ หลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่นาน ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 44.35 จุด หรือ 0.33% แตะที่ 13,535.12 จุด ดัชนี S&P 500 อ่อนแรงลง 6.70 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 1,453.45 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 24.77 จุด หรือ 0.78% แตะที่ 3,155.19 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงหลังจากสถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีเดือนก.ย.ลดลงแตะ 101.4 จาก 102.3 ในเดือนส.ค. โดยเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล ของเยอรมนี และประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส แสดงความเห็นต่างกันเกี่ยวกับขอบเขตและความรวดเร็วของการกำกับดูแลภาคการธนาคาร โดยฝรั่งเศสต้องการให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กำกับดูแลธนาคารทั้ง 6,000 แห่งในยูโรโซน ขณะที่เยอรมนีต้องการให้มีการกำกับดูแลเฉพาะธนาคารรายใหญ่ๆที่มีผลกระทบต่อยูโรโซนโดยรวม
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจาก CBB International ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่ตั้งอยู่ในรัฐนิวยอร์กระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตและกลุ่มผู้ค้าปลีกของจีนมีมุมมองที่เป็นบวกน้อยลงเกี่ยวกับยอดขาย และยังวางแผนที่จะปรับลดการจ้างงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ภาคการผลิต การค้า และยอดค้าปลีกของจีนชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3
หุ้นแอปเปิลร่วงลง 1.03% แม้บริษัทออกแถลงการณ์ระบุว่า ยอดขายไอโฟน 5 (iPhone 5) ทะลุกว่า 5 ล้านเครื่องในการเปิดขาย 3 วันแรก ทำลายสถิติยอดขายไอโฟน 4S (iPhone 4S) จำนวน 4 ล้านเครื่องในช่วงเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊กร่วงลง 4.4%
หุ้นยูเอส สตีล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.8% และหุ้นเอเค สตีล ดิ่งลง 3.8% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองบริษัท