เช้านี้มีรายงานข่าวออกมาว่า จับตากลุ่มจีอี เตรียมขายหุ้นในแบงค์กรุงศรีฯ (BAY) ล็อตใหญ่ 25% หลังปล่อยออกมาก่อนเกือบ 8% ให้นักลงทุนรายใหญ่ เลี่ยงกลุ่มแบงค์มาเลย์ที่รอซื้อไม่ต้องทำเทนเดอร์ฯ และอยู่ภายใต้เกณฑ์แบงค์ชาติ เรื่องการถือหุ้นของต่างชาติ
กลุ่มจีอียังแจ้งด้วยว่าจะไม่ขายหุ้นของธนาคารเพิ่มเติมอีกภายในระยะเวลา 180 วัน เว้นแต่จะเป็นการขายหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่กลุ่มจีอีถืออยู่ตามกลยุทธ์ของกลุ่มจีอี หรือตามที่กลุ่มจีอีจะได้ตกลงกับ Morgan Stanley อย่างไรก็ดี การขายหุ้นครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของผู้ซื้อ หรือมูลค่าของข้อตกลง
รายงานข่าวจากแบงก์กรุงศรีฯ ระบุว่า ธุรกิจของธนาคารยังคงเช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยน และกลุ่มรายย่อยยังเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้ให้กับธนาคาร ซึ่งพันธมิตรที่จะเข้ามาใหม่รับรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนาคารที่แข็งแรง มีอนาคตที่ดี และจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเขา เหมือนที่จีอีได้จากธนาคารไป
บล.ทรีนี้ตี้ ระบุในบทวิเคราะห์มองการขายหุ้นที่เหลืออยู่ยังมีความซับซ้อน เนื่องจากกลุ่ม GE ซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 33% ได้ขายหุ้นออกไปจาก Big Lot รอบแรกประมาณ 7.6% ทำให้ยังเหลือหุ้นอยู่ประมาณ 25.4% เกินเกณฑ์ 25% ที่ต้องทำ Tender Offer ซึ่งหาก GE ต้องการขายหุ้นให้แก่เมย์แบงค์จริง อาจเป็นไปได้ว่าจะต้องมีการทำ Big Lot อีกรอบ ก่อนที่จะสามารถขายหุ้นออกไปได้ทั้งหมด หรืออาจจะขายให้เมย์แบงค์แล้วหานักลงทุนรายอื่นมารับส่วนที่เหลือ
ทั้งนี้ มองว่าเป็นผลกระทบในเชิงลบด้านจิตวิทยาสำหรับการขายหุ้นส่วนที่เหลือ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะทำการซื้อขายที่ราคาต่ำกว่ากระดาน และเป็นผลกระทบเชิงลบทางด้านพื้นฐาน โดยการขายหุ้นออกไปทั้งหมดของ GE ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะด้านสินเชื่อรายย่อยได้ เนื่องจากกลุ่ม GE มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยสูง และพันธมิตรใหม่ที่เข้ามาถือหุ้น BAY อาจไม่สามารถทำได้ดีเท่า GE ในปัจจุบันสินเชื่อรายย่อยนับเป็นจุดแข็งของ BAY และมีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 50% ของสินเชื่อรวม
จึงยังคงคำแนะนำ "ถือ" โดยยังคงราคาเป้าหมายเดิมสำหรับปี 2555 ที่ 33 บาท และปี 2556 ที่ 36 บาท
วานนี้(26 ก.ย.)หุ้น BAY ปิดที่ 30.75 บาท ลดลง 2.50 บาท (-7.52%)