AGE คาดธุรกิจถ่านหินฟื้นตัวครึ่งปีหลังตามราคตลาดโลก,เร่งขยายตลาดตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 27, 2012 11:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี(AGE)เปิดเผยว่า ธุรกิจถ่านหินในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบกับช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของราคาถ่านหินในตลาดโลก ที่ปรับตัวมาแตะระดับเฉลี่ย 90 เหรียญต่อตัน หลังจากที่มีปรับตัวลดลงย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี2555 ที่ผ่านมา จากระดับ 110 เหรียญต่อตัน มาแตะระดับต่ำสุด ในช่วงครึ่งปีแรกที่ 80 เหรียญต่อตัน โดยการฟื้นตัวดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณซัพพลายปรับตัวในระดับใกล้เคียงกับดีมานด์ความต้องการซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน

ล่าสุดบริษัทฯมีสต๊อกถ่านหินในคลังสินค้าดังกล่าว เกือบ 300,000 ตันต่อเดือน และคาดว่าจะสามารถจัดเก็บสต๊อกถ่านหินได้เต็มกำลังที่ 500,000 ตันต่อเดือน ภายหลังจากที่บริษัทฯก่อสร้างคลังสินค้า และ ท่าเรือ เพื่อจัดเก็บ และการขนถ่ายถ่านหินเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2555 พร้อมกันนี้ คลังสินค้าดังกล่าวจะสามารถลดต้นทุนด้านโลจิติกส์ให้กับบริษัทฯเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท

สำหรับแผนขยายธุรกิจนั้น บริษัทฯอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการหาฐานลูกค้าใหม่ และเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ ประกอบกับดีมานด์ความต้องการในตลาดต่างประเทศยังถือว่าอยู่ในแนวโน้มที่ดี เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมมีการใช้ถ่านหิน เพราะนอกจากจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของพลังงานทดแทนแล้ว ขณะที่มองว่าถ่านหินเป็นพลังงานที่มีต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพลังงานเชื้อเพลิงอื่น รวมถึงมีระยะเวลาในการนำมาใช้ไม่ต่ำว่า 200 ปี

ส่วนการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศนั้น นายพนม กล่าวว่า บริษัทฯ จะเน้นประเทศที่มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง และจัดขจัดปัญหาการขนส่งที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศยังเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ซึ่งแม้ว่าจะเหลือระยะเวลาอีกประมาณ 3 ปี แต่มองว่าหากมีการวางแผนในระยะยาวจะสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ได้อย่างไม่เสียเปรียบ

ขณะที่การจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซีย โดยAGE ถือหุ้น 100% ภายใต้ทุนจดทะเบียน 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น นายพนม กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจดทะเบียน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี 2555 ซึ่งหากการจัดตั้งแล้วเสร็จจะลงผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการขยายธุรกิจ และการลงทุนในประเทศดังกล่าวได้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงศึกษาแผนการร่วมทุนเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยการร่วมทุนบริษัทฯ ต้องถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% เพื่อความคล่องในการบริหารจัดการซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เนื่องจากต้องหาแหล่งที่มีปริมาณถ่านหินที่เหมาะสม ประกอบกับต้องศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงและโปร่งใส อย่างไรก็ตามคาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องดังกล่าวได้ในเร็วๆ นี้

“บริษัทฯ มีแผนศึกษาในการเข้าไปลงทุนซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนตัวยอมรับว่าการเจรจาดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลา เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องของข้อกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตามในช่วงที่ราคาถ่านหิน ในตลาดโลกปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้เหมืองถ่านหินซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มองว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อการเข้าเจรจาในการซื้อเหมืองตามแผนที่บริษัทฯ กำหนดไว้" นายพนม กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ