นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด(CRC) เปิดเผยว่า บริษัทลงนามในสัญญาการร่วมทุนกับบริษัท แฟมิลี่มาร์ท ประเทศญี่ปุ่น โดยการเข้าซื้อหุ้นบริษัท สยามแฟมิลี่ มาร์ท จำกัด เพื่อถือหุ้น 50.29% ส่งผลให้ CRC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสยามแฟมิลี่ มาร์ท โดยบริษัทมีความสนใจในตลาดร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย และเห็นถึงการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการตัดสินใจร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ เนื่องจากสยามแฟมิลี่ มาร์ท มีเครือข่ายสาขา 746 แห่งทั่วประเทศ ยอดขายรวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารของ CRC เติบโตขึ้นทันทีเกือบ 50% อีกทั้งแบรนด์แฟมิลี่ มาร์ท เป็นที่รู้จักในไทยนานกว่า 20 ปีมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านสะดวกซื้อที่สามารถนำมาพัฒนาในประเทศไทยได้
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,500 สาขาภายใน 5 ปี และขยายเป็น 3,000 สาขาภายใน 10 ปี ซึ่งประมาณการว่าอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทต้องใช้เงินลงทุนราว 2,000 ล้านบาทเพื่อใช้สำหรับการเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิม รวมทั้งขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและระบบโลจิสติกท์ด้วย
นายทศ กล่าวถึง กลยุทธ์การบริหารสยามแฟมิลี่ มาร์ท ในระยะต่อไปว่า จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภคและซัพพลายเออร์ เพิ่มผลิตภัณฑ์สินค้าและนำเสนอบริการรูปแบบใหม่เพื่อความหลากหลายให้ลูกค้า โดยเฉพาะสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่จะเป็นสินค้าหลักในการดึงลูกค้าเข้าร้าน
"เซ็นทรัลรีเทล ยังคงมุ่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาธุรกิจปัจจุบัน และมุ่งเน้นการหาพันธมิตรทั้งในและนอกประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจโดยรวม" นายทศ กล่าว
นายทศ กล่าวอีกว่า บริษัทได้ใช้เงินลงทุนราว 3.1 พันล้านบาท หรือประมาณ 7.8 พันล้านเยน ในการเข้าซื้อหุ้นสยามแฟมิลี่มาร์ทครั้งนี้ โดยใน 5 ปี มีแผนขยายสาขา 1 พันสาขา ใช้เงินลงทุนราว 2-3 พันล้านบาท และ 10 ปี ขยายสาขาเป็น 3 พันสาขา ซึ่งการเพิ่มสาขาจะทำให้ยอดขายเติบโตปีละ 20-30% ดังนั้นใน 10 ปีข้างหน้า แฟมิลี่มาร์ทจะมียอดขายถึง 4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขาย 1 หมื่นล้านบาท
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการ work หาทำเลขยายสาขา ซึ่งยังมีช่องทางอีกมากโดยเฉพาะในอนาคตที่จะมีการขายแฟรนไชส์ จะเป็นโอกาส เมื่อประเทศพัฒนาขึ้น คนมีรายได้มากขึ้น trend การขายแฟรนไชส์จะดีขึ้นเรื่อยๆ" นายทศ กล่าว
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะปรับร้านสะดวกซื้อ Top daily ซึ่งมีอยู่ 115 สาขา เปลี่ยนเป็นร้านแฟมิลี่ มาร์ททั้งหมด ซึ่งในช่วง 2 เดือนนี้จะได้หารือกับพันธมิตรญี่ปุ่นว่าต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนหมดหรือไม่
สำหรับจุดขายของแฟมิลี่ มาร์ท ยอมรับว่าไม่สามารถสู้ความเป็นเบอร์หนึ่งของผู้นำตลาดร้านค้าสะดวกซื้อในปัจจุบันได้ ซึ่งมีเครือข่ายสาขาอยู่จำนวนมาก แต่บริษัทมีวิธีเลือกความแตกต่างของสินค้า โดยเชื่อว่าซัพพลายเออร์ในไทยสามารถผลิตสินค้ารองรับความต้องการได้ ดังนั้นแม้แฟมิลี่ มาร์ทไม่สามารถเป็นเบอร์ 1 ในแง่ของสาขาและยอดขายได้ แต่ขอเป็นเบอร์ 1 ในด้านชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับ
และจากการซื้อแฟมิลี่ มาร์ท ที่มียอดขายปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 1.4 แสนล้านบาท เป็น 1.5 แสนล้านบาททันที โดยธุรกิจอาหาร จะมียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2.6 หมื่นล้านบาท หรือ 21% ของยอดขายรวม เป็น 3.6 หมื่นล้านบาท สัดส่วนเพิ่มเป็น 25% และปี 56 จะมีอยดขายเป็น 4 หมื่นล้านบาท
สำหรับธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศมองว่ามีการขยายตัวมากสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมองเป็น segment ใหญ่ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกในระยะ 10 ปีข้างหน้า จึงเป็นเหตุผลที่บริษัทเข้าซื้อหุ้นแฟมิลี่มาร์ท ส่วนการแข่งขันยอมรับว่ามีความรุนแรง เพราะมีผู้เล่นในตลาดมาก มีผู้นำตลาดที่แข็งแกร่ง และใหญ่กว่า ดังนั้นการที่บริษัทเข้ามาดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะเป็นการเข้ามาสร้างสีสันในตลาด และสามารถนำความโดดเด่น และสร้างความแตกต่างเพื่อเป็นเอกลักษณ์ได้
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า บริษัทยังมุ่งพัฒนาธุรกิจค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นโนบายที่จะมุ่งหาพันธมิตรทางธุรกิจที่จะทำ join venture โดยระยะยาวการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรด้วย แต่ทั้งนี้ขอปฏิเสธว่าบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าในประเทศอินโดนีเซียตามที่มีกระแสข่าว แต่ยอมรับว่ามีความสนใจเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ หากการเสนอมา
"ยังไม่เคยได้คุยกันเลย แต่ยอมรับว่าสนใจซื้อกิจการ หากบริษัทที่ปรึกษาเสนออะไรมา เราก็สนใจหมด" นายทศ กล่าว
ด้านนายอุเอะดะ จิจิ ประธานกรรมการ บริษัท แฟมิลี่ มาร์ท (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า การเจรจาซื้อขายหุ้นสยามแฟมิลี่มาร์ท ใช้เวลาในการเจรจานานกว่า 1 ปี ซึ่ง CRC ไม่ได้เป็นผู้เสนอราคาสูงสุด แต่บริษัทได้มีการศึกษาเกี่ยวกับ CRC อย่างลึกซึ้งทำให้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของบริษัท
สำหรับแผนการขยายธุรกิจของแฟมิลี่มาร์ท ในภูมิภาคอาเซียนนั้น ในอีก 1 เดือน มีแผนจะเปิดสาขาแรกในอินโดนีเซียน และภายในปีนี้ จะเปิดสาขาแรกในฟิลิปปินส์ ส่วนพม่า และอินเดีย มีแผนที่จะเปิดสาขา แต่ต้องรอให้เปิดสาขาแรกในฟิลิปปินส์ก่อน ทั้งนี้เป้าหมายของบริษัทในปี 58 จะมีสาขาแฟมิลี่ มาร์ทที่ 2.5 หมื่นสาขาทั่วโลก จากปัจจุบันมี 2.12 หมื่นสาขา และในปี 60 จะขยายสาขาทั่วโลกเป็น 4 หมื่นสาขา
อนึ่ง หลัง CRC เข้าซื้อหุ้นสยามแฟมิลี่มาร์ท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 50.29% แฟมิลี่มาร์ท ญี่ปุ่น ถือหุ้น 48.20% ที่เหลือ 1.51% ถือหุ้นโดย บริษัทอิโตชู และโรบินสัน