นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดประมูลคลื่นความถี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี 2.1 GHz ในวันที่ 16 ต.ค. ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นี้ ทางสภาอตุสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย ต่างสนับสนุนให้เกิดการประมูล โดยมั่นใจว่าจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค
ในส่วนของภาคธุรกิจเองก็จะได้ประโยชน์มหาศาลที่ตามมาจากการประมูล และหากเกิดเหตุการณ์สำคัญระดับชาติ ยังสามารถหาข้อมูลหรือติดต่อสื่อสารระหว่างนักธุรกิจด้วยกันเพื่อตัดสินใจกันได้ทันที นอกจากนี้ การทำธุริจ จะสามารถลดต้นทุนต่างๆ ได้จากการส่งเอกสารข้อมูลต่างๆ อ่านอินเตอร์เน็ต จากเดิมที่ต้องเดินทางไปพบกัน
"ภายหลังการประมูลแล้ว ทุกฝ่ายต้องร่วมกันพัฒนาให้คนชนบทสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ในราคาที่เป็นธรรมและมีราคาถูกได้ให้ได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เกิดการล้มประมูลเมื่อปี 53 ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสมาก และคาดหวังว่าการประมูลที่จะถึงจะไม่มีปัญหา"นายพยุงศักดิ์ กล่าว
ด้านนายวิชัย อัศรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้า และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ใน 10 ประเทศอาเซียน เหลือเพียงแค่ไทย กับพม่าเท่านั้น ที่ยังไม่มี 3 จีใช้ ซึ่งสภาหอการค้าฯ มองว่าหลังการประมูล 3จี ในภาคเอกชนจะประโยชน์ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อออกใบรับรอง หรือข้อมูลมาตรฐานสินค้า และภาคการเกษตรฯ ก็จะเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น
ส่วนนายวิชัย เบญจรงคกุล นายกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การล้มประมูล 3จี เมื่อปี 53 อาจทำให้อดกังวลไม่ได้ว่าจะเกิดการล้มประมูลอีกหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งที่ประเทศจะได้จาการประมูล คือการพัฒนาประเทศและประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชน เช่น ราคาเครื่องสมาร์ทโฟน อาจมีราคาถูกลง ซึ่งขณะนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องพัฒนาให้เกิดการประมูล เพื่อให้เทียบเท่าสากล และเป็นการประกาศความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี 58
ทั้งนี้ ในวันที่ 28 ก.ย.กสทช.จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายื่นซองการประมูล พร้อมหนังสือค้ำประกันโดยต้องวางเงินค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตการประมูล ในอัตรา 5 แสนบาท รวมถึงวางเช็คค่ามัดจำการประมูลอีก 1,350 ล้านบาท