(เพิ่มเติม) PTTGC มีแผนร่วมทุนพันธมิตรสหรัฐสร้างโรงผลิตพลาสติกชีวภาพ คาดสรุป Q1/56

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 28, 2012 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนร่วมทุนพันธมิตรในสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ คาดมีข้อสรุปปลายปีนี้หรือต้นปี 56 โดยจะมีกำลังการผลิต ที่ 7 หมื่น-1.4 แสนตัน/ปี ใช้เงินลงทุนราว 150-300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50

และในการเจรจาร่วมกันได้มีการเสนอให้ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต เนื่องจากมีความเหมาะสมทั้งในแง่ของการใช้วัตถุดิบเพื่อต่อยอดพืชผลทางการเกษตร เช่น จากเดิมใช้อ้อยในการผลิตน้ำตาล มันสำปะหลังในการผลิตแป้ง ก็จะเป็นการนำมาผลิตต่อยอดอุตสาหกรรที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและทดแทนการนำเข้า

"ประเทศไทยเหมาะสมเป็นศูนย์กลางการผลิตพลาสติกชีวภาพ จากที่พูดคุยกันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมในประเทศไทย เพราะหลายประเทศขณะนี้พยายามช่วงชิงความได้เปรียบ โดยนำอุตสาหกรรมไปสร้างให้เกิดที่บ้านเขา เราก็ไม่อยากให้โอกาสหลุดลอยไป แต่ต้องได้รับการสนับสนุนทุกภาคส่วน เพื่อให้อุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย"นายอนนต์ กล่าว

การทบทวนแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 56-60) ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับวงเงิน แต่ได้มีการหารือกับคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนแล้ว คาดว่ามีข้อสรุปทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ โดยกรอบทิศทางการลงทุนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก ยังคงยึดธุรกิจหลักในประเทศ แต่จะทำให้ดูขึ้น โดยภารกิจแรกคือการสร้างมูลค่าเพิ่มหลังการควบรวมกิจการ และต่อยอดธุรกิจ พร้อมตั้งเป้าเจาะตลาดที่มีการเติบโตสูง ตลาดที่เกี่ยวกับกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง อิเล็กทรอนิคส์ รถยนต์ ซึ่งใช้โพลียูรีเทน และโพลีคาร์บอร์เนตจำนวนมาก ส่วนธุรกิจประเภท Green จะเริ่มด้วยการลงทุนในธุรกิจผลิตพลาสติกชีวภาพ ซึ่งยังมีโครงการต่อเนื่องอีก

"ที่พูดคุยกันจะเป็นแผนระยะ 10 ปี แต่เงินที่ขอจะเป็นกรอบการลงทุน 5 ปี ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องเงินลงทุน...หลังควบรวมกิจการสิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรที่จะสร้างความเข้มแข็งให้เราขยายงานในภูมิภาค มีทั้งเรื่องระบบงาน คน การจัดทัพเพื่อผลักดันโครงการขยายงานใหม่ๆ" นายอนนต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอนนต์ ยอมรับว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ เพราะถือเป็นโอกาสในการทำให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่ยังคงยึดกรอบวินัยการเงิน โดยที่ EBITDA อยู่ที่ 2.4 เท่า และ D/E ไม่เกิน 0.7 เท่า

สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่า ค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ระดับไม่ถึง 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยที่สเปรดปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ