บมจ.มิลคอนสตีล อินดัสทรีส์(MILL)ชะลอซื้อกิจการ บมจ.อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย(TSSI) หลังจากบริษัทเจอกับปัญหาสินค้าเหล็กจากจีนเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย ดังนั้น บริษัทจึงจะขอรอดูมาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐให้มีความชัดเจนก่อนจะเดินหน้าเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม(EBITDA)ราว 1 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 600 ล้านบาท โดยรายได้จากการส่งออกเติบโตเท่าตัวมาที่ 2 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะพม่า ลาว และอินโดนีเซีย พร้อมทั้งตั้งเป้าปีหน้ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง 10-15% รับผลดีจากโครงการเมกะโปรเจ็คต์ภาครัฐ
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ MILL กล่าวว่า บริษัทได้ชะลอการซื้อกิจการ TSSI จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะดำเนินการในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากหากเข้าซื้อช่วงนี้คาดว่าจะขาดทุนจากผลกระทบจากการดัมพ์ตลาดของสินค้าเหล็กจากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าสินค้าของบริษัทราว 14-15% โดยเป็นการนำเข้ามาในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะนำเข้ามามากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วผ่านกลไกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ดังนั้น บริษัทจะรอให้ภาครัฐออกมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิคดวามชัดเจนก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงงบในการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวที่ 3,065 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาเหมาะสม(fair value) ตามที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงกันแล้ว และคงไม่เปลี่ยนแปลงราคาดังกล่าวในช่วง 1-2 ปี ซึ่งบริษัทมีแหล่งเงินทุนเตรียมพร้อมไว้แล้ว มาจากเงินทุนของบริษัทเอง 1,500 ล้านบาท และเงินกู้อีก 1,500 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน TSSI หยุดการผลิตอยู่แล้ว โดย TSSI เป็นผู้ผลิตเหล็กลวดพิเศษที่เป็นสินค้าประเภทเดียวกับที่นำเข้าจากจีนมาแข่งขันในตลาดในประเทศ นอกเหนือเหล็กแผ่นรีดร้อน
"นโยบายเรายังเข้าซื้อ เป็นโครงการที่เหมาะสม การซื้อ TSSI จะทำให้รายได้เราเพิ่มอีก 9 พันล้าน หรือ 1หมื่นล้าน แต่เรายอมไม่มีรายได้แล้วมีขาดทุน ไม่มีดีกว่า...จะเข้าซื้อขึ้นกับ Action ภาครัฐว่าทำได้เร็วหรือไม่ ถือเป็นปัจจัยภายนอก"นายสิทธิชัย กล่าว
นายสิทธิชัย กล่าวว่า แม้ว่าไม่มี TSSI แต่บริษัทมีโครงการ Green Mill ที่สามารถทำกำไรได้ดี โดยคาดว่าปีนี้มี EBITDA Margin ที่ 1 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ทำได้ 600 ล้านบาทเท่าปี 54 ทั้งปี แนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้คาดว่าจะสามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เติบโต 10-15% หลังจาก Green Mill Project ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว และผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายเหล็กเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) มีแนวโน้มสูงขึ้น จาก ระดับ 4-5% จากปีที่ผ่านมา คาดว่าจะสูงถึง 8-9% ในปีนี้
ทั้งนี้ ไตรมาส 4/55 คาดว่ารายได้และกำไรจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และดีกว่าไตรมาส 3/55 โดยล่าสุดบริษัทจะมีรายได้จากคำสั่งซื้อเหล็กในโครงการโรงไฟฟ้าหงสา ประเทศลาว 8,000 ตัน เป็นมูลค่า 200 ล้านบาท โดยล็อตแรกจะเป็นเหล็กเส้นธรรมดา 6,600 ตัน และยังมีเหล็กเส้นเกรดพิเศษ 1,400 ตัน ที่จะต้องส่งมอบทั้งสองส่วนภายในเดือน ต.ค.นี้ และคาดทั้งโครงการจะใช้เหล็กเส้นประมาณ 2 หมื่นตัน
บริษัทมองแนวโน้มดีมานด์ปีนี้ยังเติบโตจากในประเทศ เพิ่มขึ้นกว่า 10% และประเทศเพื่อนบ้าน และบริษัทกำลังศึกษาโอกาสขยายตลาด ทั้งพม่า อินโดนีเซีย ลาว ที่ยังมีความต้องการเหล็กสูงขึ้น ซึ่งปีนี้ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 2 พันล้านบาทจากปีก่อน 1 พันล้านบาท และปีหน้าคาดรายได้เติบโต 10-15% และมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 15% เนื่องจากมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก โดยการใช้กำลังการผลิตปีหน้าเป็น 80% ของกำลังการผลิตเหล็กเส้นเส้นและเหล็กรูปพรรณ รวม 8.5 แสนคัน/ปี จากปีนี้ 70%
นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาร่วมโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว ที่ได้สั่งซื้อเหล็กที่จะใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด คิดเป็นพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร โดยเป็นโครงการแรก จาก 3 โครงการเมกกะโปรเจ็กในประเทศลาว ที่ประกอบด้วย โครงการทำเหมืองถ่านหิน โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์ และ โครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรับคำสั่งซื้อจากโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพ ทำให้สินค้าได้รับการยอมรับ จากทั้งภายในและต่างประเทศ นอกจากนี้ การได้ขายเหล็กให้กับโครงการขนาดใหญ่ในประเทศลาว ยังถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ สู่การพัฒนาตลาดไปยังกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอนาคต
"เรามีความภาคภูมิใจ ที่โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ประเทศลาว เลือกซื้อเหล็กของมิลล์คอน ในการก่อสร้างทั้งโครงการ โดยได้สั่งล็อตแรกไปแล้ว 6,600 ตัน เป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของเรา ซึ่งมิลล์คอนมีความมั่นใจว่าจะได้รับออร์เดอร์จากเมกะโปรเจ็กต์ในประเทศลาวอีกอย่างต่อเนื่อง และถือว่านี่เป็นก้าวแรกที่สำคัญ สู่การพัฒนาตลาดไปยังกลุ่ม AEC ต่อไป" นายสิทธิชัยกล่าว