ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวกแค่ 2.46 จุด วิตกกำไรแบงก์ถ่วงความเชื่อมั่นผู้บริโภคสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday October 13, 2012 06:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีหุ้นสหรัฐปิดผันผวนในกรอบแคบๆเมื่อคืนนี้ (12 ต.ค.) หลังหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงภายหลังจากที่มีการเปิดเผยผลประกอบการของสองธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐอย่างเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค และ เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ โดยดัชนีหุ้นสหรัฐปิดท้ายสัปดาห์ย่ำแย่สุดในรอบ 4 เดือน ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ซบเซาและฤดูการรายงานผลประกอบการที่อ่อนแอ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้นเล็กน้อย 2.46 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 13,328.85 จุด หลังปิดลบมา 4 วันติดต่อกัน

ดัชนี S&P 500 ลดลง 4.25 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 1,428.59 จุด

และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน โดยลดลง 5.30 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 3,044.11 จุด ซึ่งเป็นการปิดลบต่อเนื่องยาวนานสุดในปีนี้

สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ร่วง 2.7% S&P ร่วง 2.21% และ Nasdaq ดิ่งลง 2.94%

หุ้นเคลื่อนไหวแดนบวกในการซื้อขายภาคเช้า โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นถึง 75 จุด เพราะได้แรงหนุนจากการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นเกินคาดสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ค้าปลีกจะได้เห็นยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนยังเข้าซื้อหุ้นที่ราคาตกลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนต.ค. จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ 83.1 จุด จากระดับ 78.3 จุดในเดือนก่อนหน้า สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 78 จุด

มูลค่าตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นประกอบกับอัตราว่างงานที่ลดลงทำให้ชาวอเมริกันเกิดแรงกระตุ้นทางจิตวิทยา ซึ่งช่วยสร้างมุมมองที่เป็นบวกต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในช่วงเทศกาลวันหยุดช่วงปลายปี

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถช่วยให้หุ้นสหรัฐพุงตัวอยู่ในแดนบวกได้จนถึงช่วงปิดตลาด เมื่อแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลงและดัชนีปรับตัวลงในภาคบ่าย

หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงถ่วงตลาดมากที่สุด โดยหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วง 2.6% หลังธนาคารรายใหญ่อันดับ 4 และผู้ปล่อยสินเชื่อบ้านรายใหญ่สุดของสหรัฐรายงานรายได้ไตรมาส 3 ที่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งบดบังข้อมูลบวกอย่างกำไรสุทธิที่สูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อย โดยกำไรสุทธิแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.94 พันล้านดอลลาร์ ทะยานขึ้น 22% จากปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำช่วยหนุนธุรกิจรีไฟแนนซ์

สิ่งที่ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งวิตกเป็นพิเศษคือส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง 0.25% แตะ 3.66% ซึ่งแย่กว่าที่ธนาคารได้คาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนว่าจะลดลงแค่ 0.17%

ด้านเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ รายงานผลกำไรไตรมาส 3 ที่สูงทำสถิติ เนื่องจากยอดรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านทะยานขึ้นและยอดปล่อยกู้เพื่อการพาณิชย์ขยายตัว อย่างไรก็ตาม แม้กำไรและรายได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่หุ้นของธนาคารก็ยังปรับตัวลดลง 1.1% เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง

ทั้งนี้ นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับฤดูการรายงานผลประกอบการ ซึ่งคาดกันว่าจะอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการเงินเป็นต้นมา โดยข้อมูลจากธอมสัน รอยเตอร์เผยว่า ผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มว่าจะลดลง 3% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี

สำหรับในสัปดาห์หน้า นอกจากอีกหลายบริษัทจะทยอยรายงานผลประกอบการซึ่งเป็นที่จับตาแล้ว นักลงทุนยังจะรอดูความเคลื่อนไหวจากฝั่งยุโรป เมื่อบรรดาผู้นำมีกำหนดประชุมร่วมกันที่กรุงบรัสเซลส์ ขณะที่นักลงทุนหลายรายเชื่อว่า สเปนจะขอความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศในเร็วๆนี้ภายใต้ความกดดันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สเปนถูกลดอันดับเครดิต ซึ่งยิ่งกระพือกระแสคาดการณ์ดังกล่าว แม้รัฐบาลสเปนออกมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า สเปนไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ตาม

ทั้งนี้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของสเปนลง 2 ขั้น สู่ระดับ BBB- ซึ่งสูงกว่าระดับขยะเพียงขั้นเดียวเท่านั้น โดยเอสแอนด์พีระบุว่า เศรษฐกิจของสเปนอยู่ในภาวะที่ถดถอยรุนแรงและจำกัดทางเลือกด้านนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาหนี้ภายในประเทศ

เอสแอนด์พีเปิดเผยในรายงานครั้งล่าสุดว่า การลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความเสี่ยงต่างๆที่มีต่อการเงินสาธารณะของสเปนนั้น เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ