HSBC แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย เชียร์กลุ่มรับปย.ขับเคลื่อนศก.ในประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 16, 2012 12:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ทบทวนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่มีปัจจัยน่ากังวล และยังให้น้ำหนักลงทุนเพิ่ม (Overweight) จากการปรับความคาดหวัง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรกที่ออกมาน่าผิดหวังสะท้อนว่านักวิเคราะห์คาดหวังสูงเกินกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจตามความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม เรามองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ความต้องการบริโภคภายในประเทศยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจ้างงานที่สูงในตลาดแรงงานและระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ต่ำ ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวล เราเชื่อว่าขณะนี้ความเสี่ยงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีเพียงเล็กน้อย แต่ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นจะกดดันภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มสูงขึ้นในปี 56

สำหรับแรงซื้อจากนักลงทุนไทยนั้น เห็นสัดส่วนนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเงินลงทุนของกลุ่มผู้เกษียณอายุที่เป็นเงินออมระยะยาว และจะทำให้โครงสร้างการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่กระแสเงินลงทุนช่วยหนุนตลาด ซึ่งการให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยของกองทุนทั่วโลกยังต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น ดังนั้น คาดว่ากองทุนทั่วโลกน่าจะเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่ม

มูลค่าหุ้นที่เหมาะสม หุ้นไทยซื้อขายกันที่ค่า PE 11 เท่าของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยในอดีต และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นอื่น ๆ ในเอเชีย ที่ 11.2 เท่า ทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดีกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในเอเชีย คือ ร้อยละ 14.5 เทียบกับร้อยละ 10.2 ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ในปี 2555

"การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง และขณะนี้ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ สัดส่วนผู้ถือหุ้นในตลาดหุ้นไทยกำลังกระจายตัว และราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของเอเชีย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

HSBC แนะนำหุ้นหลัก 5 ตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ (domestic-oriented industries) ได้แก่ บมจ. ทางด่วนกรุงเทพ (BECL)โดยให้ราคาเป้าหมาย 33 บาท มองว่าการใช้ทางด่วนมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วม สิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงาน (ECO Car) และการกลับมาใช้สนามบินดอนเมืองอีกครั้ง

บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ราคาเป้าหมาย 120 บาท โดยเชื่อว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของ DTAC จะมีการทบทวนกันอีกครั้งหลังการประมูลใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการบริหารจัดการเงินทุนที่ดีและมีงบดุลที่

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาเป้าหมาย 220 บาท โดยเห็นว่าเป็นธนาคารที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมโดดเด่นที่สุด และมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจ SME รายย่อย ๆ ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และธุรกิจสินเชื่อบุคคล ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส(IVL) ราคาเป้าหมาย 42 บาท มองว่า IVL ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดีจากการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ และการเติบโตของยอดขายจะช่วยหนุนกำไรในระยะกลางให้เติบโตได้ดี

และ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) ราคาเป้าหมาย 21.70 บาท เป็นผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางรายใหญ่ที่สุด และได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้คนชั้นกลางสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้มากขึ้น และนโยบายช่วยเหลืออื่น ๆ เพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่แพง รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้างบ้าน (Pre-fabrication model) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน และช่วยให้การก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ