บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) เปิดเผยว่า ในปี 55 ยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 8-10% พร้อมกับงบลงทุนรวมที่ 5,500 ล้านบาท ภายใต้แผนการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 135 สาขา
บริษัทคาดว่ายอดขายในช่วงไตรมาส 4/55 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3/55 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลที่มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นทั้งช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ ล่าสุด วันนี้บริษัทเปิดตัวบริการช้อปปิ้งออนไลน์เฟสแรกผ่านบริการ app บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายผ่าน online ให้เพิ่มมากขึ้น
นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ BIGC กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทจะเปิดสาขาใหม่รวม 135 สาขา จากปี 54 ที่มี 210 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้มีสาขารวม 345 สาขา เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 112 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ต 18 สาขา มินิบิ๊กซี 125 สาขา และเพียว 90 สาขา และในปี 59 ตั้งเป้าที่จะมีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต 303 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ตและมินิบิ๊กซี 950 สาขา
บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้รวม 5.5 พันล้านบาทในการเปิดสาขา รวมถึงการเปิดนวัตกรรมช็อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งช็อปปิ้งออนไลน์ในระบบเดิมที่ซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 410% ถือว่ามีอัตราเติบโตสูงกว่าปีก่อนและเกินกว่าคาดหมาย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับอายุ 25-45 ปี และหลังการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและแอนดรอยด์ น่าจะทำให้มียอดขายผ่านออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ยอดขายออนไลน์ยังถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบยอดขายรวม
สำหรับปี 55 บริษัทยังคงเป้ารายได้รวมเติบโต 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.2-1.3 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 4/55 คาดว่ายอดขายจะเติบโตสูงกว่าไตรมาส 3/55 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีเทศกาลต่างๆ น่าจะทำให้กำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น
อนึ่ง วันนี้ BIGC ได้เปิดตัวนวัตกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกของไฮเปอร์มาร์เก็ตไทย เฟสแรกใช้เงินลงทุนวางระบบซอฟแวร์ราว 5 ล้านบาท เพื่อเปิดแอพพลิเคชั่นบนมือถือ เพื่อรองรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือระบบสมาร์ทโฟนและแอนดรอยด์ที่มีกว่า 13 ล้านรายน่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น จากจุดเด่นมี่มีสินค้ากว่า 1 หมื่นรายการในช่วงแรก ที่มีราคาและโปรโมชั่นเดียวกับสาขาของบิ๊กซี และในอนาคตจะมีการขยายสินค้าเพิ่มขึ้นจากสินค้าทั้งหมดของบิ๊กซีที่มีนับแสนรายการ
และภายในไตรมาส 4/55 บริษัทจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมช็อปปิ้งออนไลน์ในเฟสต่อไป ซึ่งจะเป็นช้อปปิ้งออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีในประเทศไทย ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงความสะดวกได้มากขึ้น