ก.ล.ต.ผลักดันยุทธศาสตร์คนไทยมีความรู้การเงิน-ออมหวังเพิ่มเงินเข้าสู่ตลาดทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 18, 2012 14:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวว่า ก.ล.ต.เห็นว่าขณะนี้จำเป็นต้องให้คนไทยมีความรู้และการบริหารจัดการเงินและการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนในวัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เนื่องจากพบว่าคนไทยมีการออมต่ำมาก จากตัวเลขผู้ที่อยู่วัยทำงาน 38 ล้านคน มีเพียง 12.5 ล้านคนที่เข้าระบบออมเพื่อเกษียณ โดย 9 ล้านคนเป็นสมาชิกประกันสังคม, 2.1 ล้านคนเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, 1.2 ล้านคนเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็ญบำนาญข้าราชการ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีจำนวน 2 แสนบัญชี
"เราเชื่อมั่นว่าความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเก็บออม การลงทุน การแบ่งเงินใช้ให้เป็น เป็นรากฐานสำคัญของสังคม ถ้ามีการออกมาจำนวนมากก็จะเกิดสะสมทุน และเข้าไปลงทุน และนำมาเป็นเงินทุนเข้าสู่ระบบ ก็จะทำให้สังคมเข้มแข็ง ประเทศชาติก็มีความแข้มแข็งทางเศรษฐกิจ" นายวรพล กล่าวในงานสัมนา"เปลี่ยนประเทศไทยให้รู่งเรืองด้วยความรู้ทางการเงิน"นายวรพล กล่าว

ยกตัวอย่างหากมีคนเพียง 100,000 คน เริ่มเก็บออมเพื่อเกษียณเดือนละ 10,000 บาทผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพทุกเดือนใน 1 ปีจะทำให้มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 120,000 บาท ถ้ามีวินัยลงทุนทุกปีเป็นเวลา 20 ปี และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 5% แต่ละคนจะมีเงินออมเพื่อเกษียณ คนละ 4 ล้านบาท รวมมูลค่าเงินลงทุน 4 แสนล้านบาท ทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดทุนต่อเนื่องในระยะยาว และส่งผลให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนจากตลาดทุนได้ใช้ประโยชน์ไปขยายกิจการต่อเนื่อง

สาเหตุที่ ก.ล.ต.ผลักดันยุทธศาสตร์เปลี่ยนประเทศไทยให้รุ่งเรืองด้วยความรู้ทางการเงิน เป็นเพราะคนไทยไม่มีทักษะการจัดการลงทุน, ไม่มีวินัย ไม่รู้จักเก็บออม, ไม่สามารถเพิ่มผลิตผลของประเทศได้ทั้งที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปี 2563, ไม่มีรายได้พอดูแลตัวเองเมื่อหมดวัยทำงาน ไม่เข้าใจวิธีการออม กลายเป็นภาระของประเทศ และสังคมไม่ให้ความสำคัญเรื่องการออมเพื่อเกษียณ

ด้านนางดัยนา บุนนาค กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ก.ล.ต.เห็นว่า เรื่องการออม ควรเป็นวาระของชาติและเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ และเห็นว่าที่ผ่านมาหลายหน่วยงานต่างคนต่างทำ เช่น ก.ล.ต., ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) , ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จึงเสนอให้ร่วมมือกันทำและลงมือทำ จะเกิดพลังการเปลี่ยนแปลง ไม่ควรรอให้เกิดองค์กรอิสระเกิดขึ้นก่อนจึงจะทำ

นอกจากนี้ ขอความร่วมมือกับภาคเอกชนนอกเหนือภาครัฐ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์ที่สามารถช่วยการทำแบบสำรวจหรือแบบสอบถามในเรื่องการออม และลงมือช่วยให้ความรู้ทางการเงิน และทำการสำรวจอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันสภาพสังคมมีลักษณะรวยกระจุก จนกระจาย ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ตัวเลขสิ้น ส.ค. 55 จากธปท. พบว่า มีบัญชีเงินฝากจำนวน 1.85 แสนบัญชี จากทั้งหมด 86 ล้านบัญชี เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝาก 50% ของเงินฝาก

ด้าน นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะองค์กรภาคเอกชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการที่ได้พบผู้มีปัญหาสุขภาพ ได้พบว่าสาเหตุมาจากสุขภาพทางการเงิน และทำให้เกิดปัญหาชีวิตตามมา ดังนั้น ต้องมีสุขภาพทางการเงินดี จะทำให้คนทำงานทำงานอย่างมีทักษะ นอกจากนี้ต้องมีทักษะการใช้ชีวิต เพราะสังคมเปลี่ยนแปลงเร็ว

นายกฤษฎา เสกตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ให้ความสำคัญเรื่องการออกม และเห็นด้วยที่จะทำเรื่องการออมเป็นวาระของชาติ จะทำให้คนไทยมีความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ ต้องรู้จักการสร้างความมั่งคั่ง รู้จักปกป้องความมั่งคั่ง รู้จักต่อยอดความมั่งคั่ง และกระจายความมั่งคั่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ