JMT เตรียมเซ็นอันเดอร์ไรท์ 25 ต.ค.คาดเข้าเทรดได้ปลาย พ.ย.55

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 22, 2012 14:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอ็มที เน็ตเวิร์คเซอร์วิสเซ็ส เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าจะสามารถขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น โดยจะแต่งตั้งให้ บล.เอเซียพลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในช่วงกลางเดือน พ.ย. และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET ช่วงปลายเดือน พ.ย.

สำหรับหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น จะแบ่งเป็นการเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 45 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไป 30 ล้านหุ้น และหลังจาก JMT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว บมจ.เจมาร์ท(JMART)จะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน JMT ลงเหลือ 75% จากเดิมที่ถือหุ้นทั้ง 100%

การดำเนินธุรกิจของ JMT แบ่งงานเป็น 3 ส่วน คือ การรับจ้างติดตามหนี้ การซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินเพื่อมาบริหาร และปล่อยสินเชื่อรถยนต์ส่วนบุคคลในกทม.และปริมณฑล ปัจจุบันมีพอร์ตใน 2 ส่วนแรกอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาท

บริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO มาใช้ใน 3 ส่วน ส่วนแรกจะนำไปลงทุนซื้อหนี้มาบริหารเพิ่ม โดยในปีนี้มีแผนซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอีกประมาณ 5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มพอร์ตให้เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท จากนั้นในปี 56 ตั้งเป้าซื้อหนี้เพิ่มเพื่อขยายพอร์ตให้เป็น 3.5 หมื่นล้านบาท และปี 57 จะเพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท และอีกส่วนนึงจะนำไปปล่อยสินเชื่อรถยนต์ สุดท้ายจะนำไปชำระคืนหนี้เดิม

และบริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะเดินหน้าธุรกิจซื้อหนี้ประเภทสินทรัพย์พร้อมขาย(NPA) ซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมาบริหาร โดยจะเริ่มจากการซื้อหนี้ประเภทบ้านและคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-2 ล้านบาทมาปรับปรุงและเสนอขาย คล้ายกับธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์(บสก.)ซึ่งธุรกิจนี้อาจจะต้องใช้ต้นทุนสูง ทำให้บริษัทอาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม

นายปิยะ กาวว่า ธุรกิจของเราคือการติดตามเร่งรัดหนี้สิน เป็นธุรกิจรับจ้างตามหนี้ประเภทบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และซื้อหนี้มาบริหารเองประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ตั้งแต่ต้นปีปล่อยสินเชื่อไปประมาณ 200 คัน วงเงินประมาณ 350,000 บาทต่อคัน อัตราดอกเบี้ยที่ 4.5-13% ขึ้นอยู่กับอายุของรถ

"ต้นทุนการซื้อหนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5% ของมูลหนี้ทั้งหมด เช่น มูลหนี้อยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เงินที่ใช้ซื้อจะคิดเป็น 5% ของมูลหนี้ และมองว่าธุรกิจซื้อหนี้มาบริหารยังโตได้ต่อเนื่อง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุว่าหนี้เสียมีวงเงินรวม 4.7 หมื่นล้านล้านบาท แต่เรามีพอร์ตแค่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งอนาคตก็น่าจะโตได้อีกเยอะ และเชื่อว่าหลังจากที่เราเข้าตลาดฯก็จะสามารถซื้อหนี้จากธนาคารมาบริหารได้มากกว่าเดิม"นายปิยะ กล่าว

บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ประมาณ 390 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 324 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อเนื่อง ขณะที่กำไรสุทธิปี 54 คาดจะอยู่ที่ 17 ล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตขึ้นประมาณ 40-50% จากปีที่แล้ว และตั้งเป้าการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 50% สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจซื้อหนี้มาบริหาร 70% และธุรกิจรับจ้างตามหนี้-ปล่อยสินเชื่อ 30%

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งในปีนี้บริษัทจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกไปแล้ว และหลังจากเข้าตลาดฯคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังได้อีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ