บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส(JMT)ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.เจมาร์ท(JMART) สรุปราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป(IPO)ที่ 4.00 บาท/หุ้น โดยกำหนดเสนอขายในวันที่ 19-21 พ.ย.และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือน พ.ย.นี้
JMT ดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์ และบังคับคดีทั่วประเทศไทย โดยบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 45 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ JMART เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 30 ล้านหุ้น
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บล.เอเซีย พลัส(ASP) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกด้วย พร้อมกับบริษัทหลักทรัพย์อีก 3 แห่งเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co Underwriter) ได้แก่ บล.ธนชาต บล.บัวหลวง และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส
หลังจากนี้จะเปิดเสนอขายหุ้น IPO ของ บริษัทฯ ให้ผู้ถือหุ้นของ JMART ระหว่างวันที่ 12-14 พ.ย.55 ในสัดส่วนการใช้สิทธิ 9.15 หุ้น JMART (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) จะได้รับสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JMT จำนวน 1 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) และเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.55 โดยจะจัดนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชน (Roadshow) ในวันที่ 5 พ.ย.55 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประมาณวันที่ 27 พ.ย.55
ปัจจุบัน JMT เป็นบริษัทย่อยของ JMART ที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 225 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และภายหลังจากเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ JMT จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งหุ้นของ JMART จะลดลงจากร้อยละ 100 เหลือร้อยละ 75 เพื่อเปิดทางให้นักลงทุนทั่วไปได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ ได้โดยตรง ส่วนเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะนำไปใช้ซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น
“มั่นใจว่าหุ้น IPO ของ JMT จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เพราะกำหนดราคาไว้ที่ P/E 13.8 เท่า ในขณะที่บริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จากผลประกอบการที่เติบโตในอัตราค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่องทั้งจากการเติบโตของธุรกิจเร่งรัดหนี้สิน การบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง นอกจากนั้นยังได้กำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลไว้สูงถึงร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ" นายปิยะ กล่าว
สำหรับปี 54 บริษัทฯ มีรายได้รวม 324 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 67 ล้านบาท และในงวด 6 เดือนแรกของปี 55 (ม.ค.—มิ.ย.5) บริษัทฯ มีรายได้รวม 186 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท โดยมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 54 ร้อยละ 8 และ 64 ตามลำดับ และในรอบ12 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุด 30 มิ.ย.55 บริษัทฯ มีรายได้รวม 337 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร ASP มั่นใจว่าหุ้น IPO ของ JMT จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ จากธุรกิจที่มีการเติบโตในอัตราที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง นอกจากนั้น เม็ดเงินจากการขายหุ้น IPO จะก่อให้เกิดผลตอบแทนเต็มๆ จากการนำไปซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ JMT มีทิศทางการเติบโตของผลประกอบการอย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าคุ้มค่าสำหรับการถือลงทุนเพื่อหวังผลในอนาคต
ประกอบกับราคาขายหุ้น IPO ที่ 4.00บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ประมาณ 13.8 เท่า จากผลประกอบการในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2555 ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจ และมีส่วนลดให้กับนักลงทุนถึงร้อยละ 32 เมื่อเปรียบเทียบกับ PER ของคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน