นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส(ASP) กล่าวว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงวันนี้ เนื่องจากดัชนี SET ได้ปรับขึ้นมาเกือบ 30% แล้วจึงมีการปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ เริ่มเห็นการปรับตัวลงจากตลาดหุ้นสหรัฐก่อน เพราะหลายบริษัทใหญ่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/55 ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม มองว่าไม่ได้ออกมาเลวร้ายนัก แต่เพราะนักลงทุนตั้งความหวังสูง ทั้งที่ หุ้นกลุ่มไฮเทคในตลาดสหรัฐ มียอดขายใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ แต่หุ้นตกเกิดจากส่งมอบของไม่ทันในไตรมาส 3/55 และต้องไปส่งมอบในไตรมาส 4/55 ทำให้เกิดความกังวล
รวมทั้งมีความไม่แน่นอนในการเรื่องเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่มีคะแนนสูสีกัน นักลงทุนกังวลว่าหากนายมิตต์ รอมนีย์ ได้เป็นประธานาธิบดีจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าเป็นนายบารัก โอบามาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองสถานการณ์จะเหมือนเดิม ความกังวลก็จะลดลง ดังนั้น นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และหันมาถือเงินสดแทน
"การปรับฐานเป็นปกติที่ลูกค้ามีกำไรจากการลงทุน ประกอบกับช่วงนี้ต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆ ด้วย" นายก้องเกียรติ กล่าว
ส่วนปัจจัยประทศ ที่ขณะนี้กำลังจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ในสายตาต่างชาติไม่ได้กังวล เพราะนโยบายเศรษฐกิจยังคงเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่สำคัญต้องการให้รัฐบาลเร่งผลักดันนโยบายการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นนโยบายพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ดังนั้น นายก้องเกียรติ จึงแนะว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยง หันไปมองการลงทุนตลาดหุ้นต่างประทศ เช่น จีน ที่น่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้น และ 4 แบงก์ใหญ่ของจีนก็ฟื้นตัวแล้ว รวมทั้งคาดว่าจะมีเงินทุนจะไหลเข้าในประเทศจีนมากขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังมีหุ้นดีๆ ที่น่าลงทุนอีกมาก ซึ่งจะเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สนับสนุนผู้ลงทุนให้กระจายการลงทุน ไม่ให้กระจุกการลงทุนในไทยอย่างเดียว นักลงทุนก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศอย่างใกล้ชิดด้วย
สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน บล.เอเชียพลัส ได้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานนานแล้ว เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว กลุ่มพพลังจะลดความน่าสนใจ และมองว่าแนวโน้มราคาพลังงานในปี 56 ก็ยังมีความเสี่ยงทั้งวิกฤตยุโรปที่เป็นระเบิดเวลา เพราะมีเรื่องพันธบัตรรัฐบาลสเปนที่จะครบกำหนดอันใกล้จำนวนมหาศาล และต้องติดตามว่าธนาคารกลางยุโรปจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป