ทั้งนี้ โครงการลดต้นทุนที่ดำเนินการสร้างท่าเรือและคลังสินค้าให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อลดขั้นตอนการนำเข้าให้สั้นลง เพิ่มความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นให้เพิ่มขึ้น ถือเป็นหนึ่งในแผนดำเนินธุรกิจ 5 ปี (54-58) ของบริษัทฯ ที่จะผลักดันเป้ารายได้ไปให้ถึง 10,000 ล้านบาท พร้อมกับการเพิ่มมาร์จิ้น
นายพนม กล่าวอีกว่า การที่จะพลิกฟื้นของผลประกอบการนั้นมาจากต้นทุนสินค้าคงคลังที่ต่ำลง และที่สำคัญค่าขนส่งที่ถูกลงซึ่งมากจากโครงการสร้างท่าเรือ และคลังสินค้าระบบปิดอยู่ในบริเวณเดียวกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อลดขั้นตอนการนำเข้าให้สั้นลงซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท
"โครงการท่าเรือและคลังสินค้าที่อยุธยานั้น ถือเป็นคลังสินค้าแบบประหยัดพลังงาน และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI โดยยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี โครงการดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้บริษัท เอจีอี เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดย AGE 100 % โดยในเฟสแรกจะรับรู้รายได้อย่างเต็มจำนวนในไตรมาส 3 นี้ ส่วนเฟสที่ 2 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ประมาณ 60-70 % ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปีหน้า และคงเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 เป็นต้นไป"นายพนม กล่าว
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจ 5 ปี 4 โครงการของบริษัทนั้นประกอบไปด้วย 1.การส่งออกถ่านหินไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็ได้มีการส่งออกถ่านหินไปยังประเทศจีน และกำลังจะขยายตลาดไปยังประเทศอินเดีย 2.โคลงการลดต้นทุนดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเรือละคลังสินค้าระบบปิดเพื่อลดขั้นตอนในการนำเข้าให้ลดลง 3.การลงทุนในธุรกิจต้นน้ำ คือ การเข้าลงทุนในเหมืองถ่านหิน เพื่อการรองรับการเติบโตของธุรกิจในอัตราที่สูง ทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับบริษัท และ 4.การลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ โดยได้ศึกษาโครงการลงทุน“โรงไฟฟ้าถ่านหิน"