สำหรับนายวิญญู เป็นผู้บริหารในกลุ่มไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารไทยเครดิต และดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารเมื่อปี 50
ส่วนนายรอย กุนารา เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานธนาคารและการเงิน Head of Risk ที่ GE Money ประเทศไทย และตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่กลุ่มงานลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังผ่านการทำงานจาก Fullerton สิงคโปร์ ซึ่งเป็นธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ด้วย
ธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารเพื่อตอบรับกลยุทธ์นโยบายการทำธุรกิจใหม่ โดยจะเน้นที่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อคนค้าขาย ซึ่ง 6 ปีที่ผ่านมา ธนาคารเติบโตในธุรกิจสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อ SME ซึ่งต้องแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จึงพิจารณาโอกาสทางธุรกิจของสินเชื่อคนค้าขายซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และยังมีปริมาณลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการของธนาคารอีกมาก โดยธนาคารได้ดึงผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อคนค้าขาย และด้านการบริหารความเสี่ยงเพื่อมาเสริมทีมในการทำตลาดนี้
ปัจจุบัน ธนาคารยังคงดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์สูง คือ 12.50% และเพื่อสร้างความแข็งแกร่งพร้อมรองรับการเติบโตในธุรกิจ กลุ่มผู้ถือหุ้นจึงมีแผนที่จะเพิ่มทุน 1,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มทุน 500 ล้านบาทภายในปีนี้และอีก 500 ล้านบาทภายในสิ้นปีหน้า และขณะนี้ทางธนาคารกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มผู้ร่วมทุนที่สนใจร่วมลงทุนกับธนาคาร
สินทรัพย์รวม 24,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ก.ย. 55) ประกอบด้วย สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อทอง และสินเชื่อ SME ซึ่งขณะนี้ ธนาคารได้ลดปริมาณการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวลง มาเน้นการปล่อยสินเชื่อคนค้าขายอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ธนาคารยังมีธุรกิจสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ธนบรรณ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ารายย่อยเช่นกัน
ที่ผ่านมาเนื่องจากลูกค้าของธนาคารอยู่ในเขตปริมณฑลทำให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงส่งผลให้ในช่วงกลางปีปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารขยับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีการปรับตัวลดลง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์ในการเร่งรัดหนี้สิน ทำให้ NPL (ณ ก.ย. 55) อยู่ที่ 4.35% และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง