SSC ยังเตรียมพร้อมเดินเกมรุกตลาดน้ำอักลมทุกเซ็กเม้นท์ ด้วยกลยุทธ์ภายใต้แบรนด์เดียว เปิดตลาดน้ำอักลมทุกกลุ่มทั้งน้ำดำ น้ำสีและน้ำขาว เพื่อสร้างแบรนด์“เอส"ให้ติดตลาดอย่างเข็งเกร็งในเวลาอันสั้น โดยจะเปิดตัวน้ำอื่นๆภายในเดือนนี้ทั้งหมด ซึ่งจะเน้น"เอส"โดดเด่นในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารสชาติที่ถูกปากคนไทยมากที่สุด ประกอบกับการคิดค้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ 2 ขนาด คือ ขวดแก้ว 12 ออนซ์ สำหรับดื่มคนเดียว และ PET 1 ลิตร สำหรับดื่มคนดียว และ PET 1 ลิตร สำหรับดื่มหลายคน พร้อมทั้งฐานร้านค้ากว่า 200,000 ร้านทั่วประเทศที่จะทำให้สินค้าของเราเข้าถึงผู้บริโภคในทุกๆพื้นที่ และจะมีตู้กด Post Mix ด้วย
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ SSC กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันแรกที่บริษัทนำ เอส ออกจำหน่ายสู่ตลาดและต้องแจ้งเกิดในประเทศโดยเร็ว ก่อนจะขยายสู่ตลาดต่างประเทศเป็นก้าวต่อไป โดยขวดแก้วยังเป็นยอดขายหลัก 60-70%ของยอดขายรวม ที่เหลือเป็นขวด PET และกระป๋อง
"การขายขวดแก้วขึ้นอยู่กับศักยภาพ ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ เพราะตลาดเมืองไทยเป็นยูนีคมาร์เก็ต เป็นตลาดสัดส่วนใหญ่และยังเติบโตได้ดี...ขวดแก้วเป็น packaging ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคตามไซส์และความต้องการของตลาด ซึ่งเรามีประสบการณ์และมี asset เป็นขวดแก้ว ที่เราทำมา 59 ปี"นายฐิติวุฒิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบทำการตลาดประมาน 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะทำตลาดช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.55 ราว 300 ล้านบาท และปี 56 อีกประมาน 900 ล้านบาท เพื่อให้แบรนด์ เอส แจ้งเกิดโดยเร็ว โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปีแรกที่ 8 พันล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาด 25% ภายในปีหน้า และเป็นผู้ขายอันดับที่ 2 ของตลาด
"ปีหน้าจะเป็นปีที่มีการเข่งขันสูงมาก แต่ไม่มีความกังวลเพราะมีความชำนาญ ทางด้านการตลาด การผลิต และการขนจัดส่งอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันยังได้บอกอีกว่าเขาคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้"นายฐิติวุฒิ์ กล่าว
นายฐิติวุฒิ์ กล่าวอีกว่า ในปี 55 คาดว่ายอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทจะดีกว่าปี 54 เนื่องจากบริษัทสามารถขายสินค้าได้ตลอดปี จากปีก่อนที่ขายสินค้าได้เพียง 9 เดือน จากผลกระทบของน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี
ด้านนายปริญญา เพิ่มพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด SSC กล่าวว่า หลังการเปิดขายวันแรก"เอส"มีการตอบรับดีมาก โดยจะมีการประเมินยอดขายหลังเปิดขาย 3 วัน คาดว่าจะกระจายสินค้าครอบคลุมร้านค้า 60% จากร้านค้าย่อย 2 แสนแห่ง และ 80% ใน 1 เดือน
นายปริญญา กล่าวว่า ตลาดน้ำอัดลมปีนี้มีการเติบโตราว 10% เนื่องจากปีก่อนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมช่วงปลายปี ทำให้ยอดขายน้ำอัดลมยังไม่เต็มที่ ส่วนปี 56 คาดว่าตลาดน้ำอัดลมเติบโต 5% มองตลาดยังมีการแข่งขันรุนแรง เนื่องจากขณะนี้มีคู่แข่งในตลาดเพิ่มจาก 2 ราย เป็น 4 ราย ทำให้สถานการณ์การแข่งขันรุนแรงเป็น 4 เท่า แต่บริษัทยังมั่นใจในจุดแข็งที่มีอยู่ ทั้งในด้าน direct sale และ distribution ขณะที่พยามปิดจุดอ่อนที่มีอยู่ และยืนยันจะไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา เพราะถือว่าเป็นพฤติกรรมที่หมดหนทางไป