สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2555 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเท่ากับ 1,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 1,542 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.41 บาท ขณะที่ยอดขายก็มีการเติบโต โดยในรูปของเงินบาทนั้น โตขึ้น 12.8% จากยอดขาย 25,105 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว เป็นยอดขาย 28,327 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐนั้น มียอดขายเท่ากับ 907 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 831 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งหมดเท่ากับ 4,081ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,586 ล้านบาท ส่วนยอดขายช่วง 9 เดือนในรูปเงินเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 2,581 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.7% ขณะที่ยอดขายในรูปของเงินบาทอยู่ที่ 80,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
"จากตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 จะเห็นว่า ปีนี้เป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทุบสถิติกำไรและยอดขาย โดยสร้างนิวไฮอีกครั้ง สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ธุรกิจในทุกส่วนเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายธีรพงศ์ กล่าว
โดยเฉพาะยอดขายผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า และผลิตภัณฑ์ซาร์ดีน/แมคเคอเรลในรูปเงินบาทที่เติบโตถึง 22% และ 54% ตามลำดับ รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่น้อยลง เนื่องจากบริษัทนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในเดือนพฤษภาคม 2555 มาชำระเงินกู้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลง ประกอบกับไตรมาสนี้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษทางบัญชีใดๆ ทั้งนี้จะเห็นว่า กำไรสุทธิไตรมาสนี้เติบโตโดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีกำไรเท่ากับ 1,001 ล้านบาท โดยเพิ่มสูงถึง 61% ซึ่งสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึง ความสามารถการบริหารจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ซึ่งเท่ากับ 15.7% แม้ว่าจะลดลงจากกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ของปีก่อน ซึ่งเท่ากับ 17.2% ก็เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี
ส่วนราคาวัตถุดิบที่มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบปลาทูน่า มีราคาเฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 2,168 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนไปแล้ว ส่วนราคาวัตถุดิบกุ้งที่มีความผันผวนตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเกิดโรคระบาด EMS (Early Mortality Syndrome) ทำให้ผลผลิตกุ้งน้อย กุ้งจึงมีราคาสูงขึ้น และถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยกระทบต่างๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี ทำให้สร้างผลงานที่ดี ซึ่งเรามีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ออกมานี้
สัดส่วนรายได้ของบริษัทซึ่งแบ่งตามผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มธุรกิจ ใน 9 เดือนนี้ กลุ่มธุรกิจปลาทูน่า มีสัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 22% กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 4% กลุ่มธุรกิจอาหารแมว 7% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 11% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทโดยแบ่งตามตลาดมีดังนี้ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 35% สหภาพยุโรป 31% ขายในประเทศ 10% ญี่ปุ่น 9% อัฟริกา 5% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 3% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1%
นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ ยังได้ชี้แจงถึง การเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท อะแวนติ ฟีด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอินเดีย จากเดิม 14.99% เป็น 25.12% โดยทำการสว็อฟหุ้นของบริษัท ที่บริษัทถือครองในบริษัท อะแวนติ ไทย อควอ ฟีดส์ จำนวน 3,844,800 หุ้น ซึ่งจะทำให้ อะแวนติฟีด กลายเป็นผู้ถือหุ้นเต็ม 100% ในอะแวนติ ไทย อควอ ฟีดส์ สำหรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการผลิตอาหารกุ้ง ปัจจุบันธุรกิจกุ้งในอินเดีย โดยเฉพาะธุรกิจอาหารกุ้งมีการเติบโตขึ้นสูงมากถึง 3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่าน และคาดว่า จะมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต