(เพิ่มเติม) PS เปิดตัวบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮ้าส์ 9 โครงการราว 1.1 หมื่นลบ.ย่านพัฒนาการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 9, 2012 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท(PS)พัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ย่านพัฒนาการเนื้อที่ 410 ไร่เป็น"พฤกษา อเวนิว"ซึ่งรวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 9 โครงการไว้ด้วยกัน มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นมูลค่าสูงสุดในกรุงเทพและประเทศไทย โดยในปีนี้จะมีการเปิดขาย 4 โครงการ และปีหน้า 5 โครงการ ซึ่งจะเป็นฐานรายได้ของบริษัทในปี 56-57 ขณะเดียวกันได้นำระบบก่อสร้างบ้านแบบคุณภาพ REM ที่เน้นคุณภาพมากขึ้นมาใช้ในการก่อสร้างโครงการดังกล่าว

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า บริษัทได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Real Estate Manufacturing (REM) ซึ่งเป็นระบบการก่อสร้างในระบบพรีแคส ระบบน็อคดาวน์ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมุ่งเน้นคุณภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดเวลาการก่อสร้างจาก 3 เดือน เหลือเพียง 1 เดือน ขณะที่พบปัญหาการแจ้งซ่อม(defect)น้อยลง จากปกติพบงาน defect 14 จุด เหลือเพียง 3 จุด

"เรานำระบบ REM มาใช้นำร่องเมื่อปี 2011 ใน 2-3 โครงการ และปีนี้ นำมาใช้ในงานก่อสร้างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ราว 80% และตั้งเป้าปีหน้าเป็น 100%...1 ไลน์การผลิตจะใช้คนงาน 80-100 คน มีกำลังการก่อสร้าง 10 หลัง/เดือน ทำให้กำลังการสร้างบ้านที่ 3 วัน/หลัง ทำให้ปีนี้เราจะมีการส่งมอบบ้านเพิ่มเป็น 15,000 หลัง/ปี จากช่วง 2 ปีก่อนมีการส่งมอบ 10,000 หลัง/ปี"นายทองมา กล่าว

ทั้งนี้ พฤกษา อเวนิว เป็นโครงการ flagship ของบริษัทที่พัฒนาโครงการ 9 โครงการ โดยนำระบบ REM มาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไร(มาร์จิ้น)เป็น 18-20% จากปกติอยู่ที่ 14-15% ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว เดอะ แพลนท์ , โครงการภัสสร เพรสทีจ , โครงการเดอะปาล์ม, โครงการชาเลตต์, โครงการทาวเฮ้าส์ พาทิโอ, โครงการวิลเลต ซิตี้ ,โครงการวิลเล็ต ไลท์ ,โครงการพฤกษาวิลล์ และโครงการพฤกษาทาวน์ มูลค่าโครงการรวม 1.1 หมื่นล้นบาท โดยจะเป็นฐานรายได้ของบริษัทในปี 56-57

ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า ในปี 55 คาดรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.6 หมื่นล้านบาท และยอดขายที่ 2.9 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน(backlog) ราว 3.5 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายใน 2-3 ปี

สำหรับการนำระบบการก่อสร้างแบบ REM มาใช้จะช่วยลดงาน defect จากปกติที่อยู่ 1% ของต้นทุนการก่อสร้าง จะเหลือเพียง 0.5% ของต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งจะเห็นชัดเจนในปีหน้า โดยการก่อสร้างแบบใหม่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะพบปัญหาดังกล่าวมาก ทำให้ผู้บริโภคจะหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพงานก่อสร้างมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ