KTC เร่งทำตลาดเชิงรุกโค้งสุดท้าย,หวังปรับโครงสร้างเห็นผลชัดเจนปี 56

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 12, 2012 09:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2555 เคทีซีจะเน้นทำการตลาดในเชิงรุก ทั้งการนำเสนอสิทธิประโยชน์ผ่านการใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards ด้วยการเพิ่มจุดแลกคะแนนสะสมให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจไลฟ์สไตล์ชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกหลากหลายกลุ่ม รวมถึงสมาชิกบัตรเครดิตระดับกลางซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่และสมาชิกระดับบน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายผ่านบัตรและมีความสามารถในการชำระสูง

ล่าสุดได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยเปิดตัวบัตรเครดิต “เคทีซี-เคทีบี เพรชัส พลัส วีซ่า อินฟินิท" ส่วนสินเชื่อบุคคลจะยังคงเน้นการตลาดผลิตภัณฑ์สินเชื่อพร้อมใช้ “เคทีซี แคช รีโวล์ฟ" เป็นหลัก เพราะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ลูกค้า โดยจัดแคมเปญการตลาดมหกรรมลดอัตราดอกเบี้ยครึ่งหนึ่งให้กับสมาชิกที่มียอดเงินโอนและยอดเงินคงค้างตามกำหนด

อย่างไรก็ตาม การที่เคทีซีได้ปรับโครงสร้างการทำงานภายในตั้งแต่ต้นปี โดยการนำงานที่เคยใช้บริการจากภายนอกเข้ามาบริหารจัดการเอง และการขยายขอบเขตงานจากคอลล์ เซ็นเตอร์ (Call Center) มาเป็นคอนแท็ค เซ็นเตอร์ (Contact Center) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานแบบองค์รวม ให้รู้จุดเริ่มต้นของงานจนถึงจุดสิ้นสุดของงานนั้นๆ (End to End) จะช่วยให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเห็นภาพดังกล่าวได้อย่างชัดเจนในปี 56 และเมื่อสิ้นสุดปี 55 นี้ เคทีซีจะมีผลการดำเนินงานเป็นบวก

นายระเฑียร กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อบัตรเครดิตในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ขยายตัวที่ 12% สูงกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัว 8% ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลเติบโตที่ 15% โดยธนาคารพาณิชย์ขยายตัวมากกว่าสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารที่ 31% และ 9% ตามลำดับ ซึ่งปัจจัยหนึ่งเป็นผลจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

“ในส่วนของเคทีซีมีผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กำไรสุทธิ 63 ล้านบาท และจากการใช้นโยบายปรับปรุงประสิทธิภาพการติดตามหนี้ และการควบคุมดูแลคุณภาพพอร์ตลูกหนี้อย่างใกล้ชิด โดยบริหารจัดการหนี้ตั้งแต่ก่อนจะเป็นหนี้เสีย (Pre-Delinquent) ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และ 3 สามารถล้างผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 ได้ทั้งหมด โดยในไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท เติบโตถึง 223% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงกว่า 40% จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญน้อยลง เพราะคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ทั้งธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลสะท้อนภาพที่ดีขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายการเงินให้คงที่"

ทั้งนี้ ฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 46,043 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 41,661 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 2.12 ล้านบัญชี ประกอบด้วย บัตรเครดิต 1,517,323 บัตร ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 29,685 ล้านบาท สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช" เท่ากับ 606,580 บัญชี ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเคทีซี แคช สุทธิ 11,686 ล้านบาท เป็นต้น"

บริษัทฯ มีรายได้รวมไตรมาส 3/55 เท่ากับ 3,117 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยที่รายได้ดอกเบี้ยรับ (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียม เท่ากับ 1,972 ล้านบาท 788 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมภาษีเงินได้) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 5% จาก 3,044 ล้านบาท อยู่ที่ 2,883 ล้านบาท

ส่วนหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเหลือเพียง 661 ล้านบาท จาก 1,101 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ ตัดหนี้สูญเร็วขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางภาษี แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะสิ้นสุดลง แต่บริษัทฯ ยังคงมูลค่าสำรองหนี้สงสัยจะสูญกรณีลูกหนี้น้ำท่วมจำนวนที่เคยตั้งเดิมไว้ โดยนำมาเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยทางเศรษฐกิจ ตามนโยบายการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทฯ และเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในอนาคต

“สำหรับสิ้นไตรมาส 3 ของปี 2555 บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) ทั้งสิ้น 28,160 ล้านบาท ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นปีที่ 13.6% แม้ว่าต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ จะสูงขึ้นจาก 4.9% เป็น 5.1% แต่บริษัทฯ ยังสามารถเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยรับรวมเฉลี่ยสูงขึ้นจาก 18.6% เป็น 18.7% ทำให้สามารถคงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 8.3 เท่า ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ 8.5 เท่า และยังต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ