ทั้งนี้ MALEE และบริษัทย่อย แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/55 มีกำไรสุทธิ 173.77 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.48 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 52.14 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.74 บาท
บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/55 ผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยรองรับกลยุทธการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และยังเป็นการขยายฐานผู้บริโภคไปสู่กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ในวัยเริ่มทำงานให้มากขึ้น
นายฉัตรชัย คาดว่า ในปี 56 บริษัทจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าปีนี้ จากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 200% ที่บริษัทลงทุนไป 400 ล้านบาท ซึ่งจะเดินเครื่องได้ในต้นปีหน้า จะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และทำให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) สูงกว่าปีนี้ที่คาดไว้ที่ระดับ 10% จากปีก่อนที่ทำได้ 7-8%
นอกจากนี้ บริษัทได้ทำการศึกษาลงทุนโรงงานผลิตน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องในแถบอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตตลาดอาเซียนจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยจะเลือกประเทศที่มีวัตถุดิบมาก จำนวนประชากรมาก และมีแรงงานถูก คาดว่าเร็วๆนี้จะตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนในประเทศใด รวมทั้งจำนวนเงินลงทุน
ประธานกรรมการ MALEE กล่าวว่า บริษัทพยายามวางสัดส่วนรายได้จากการส่งออกและในประเทศ 50-50 และสัดส่วนที่ขายในแบรนด์ MALEE กับการรับจ้างผลิตใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผลประกอบการไม่ผันผวนเหมือนในอดีตที่ผันแปรไปตามวัตถุดิบและฤดูกาล โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เน้นสินค้าเครื่องดื่ม และทำตลาดในประเทศมากขึ้น มีความเป็นฤดูกาลน้อยลง
นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ MALEE กล่าวว่า ในปีนี้มาลีเปิดตัวสโลแกนใหม่ คือ "Malee Fruit with Care" เพื่อสื่อถึงความห่วงใยของเราที่อยู่ในผลิตภัณฑ์มาลีทุกหยด พร้อเปิดตัวแคมเปญใหม่"Why Care?"เพื่อสื่อให้ผู้บริโภคทราบว่ามาลีเป็นน้ำผลไม้ที่ห่วงใยคุณมากที่สุด โดยทำการตคลาดพร้อมกับการสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิด"Co-creation Marketing" คือการให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับความเชื่อของแบรนด์ผ่านประสบการณ์ตรงโดยนำคำห่วงใยที่ตนไทยพูดกันบ่อย มาตั้งเป็น installation arts ที่ดูแห้งแล้งอยู่กลางเมือง กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สุราษฎร์ธานี รวมทั้งมีการทำกิจกรรมตลาดผ่าน social network