(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบหลังยังไร้แรงหนุน-ปัจจัยนอกปท.ยังไม่เอื้อ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 13, 2012 09:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ ขณะที่ดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมาปิดติดลบเล็กน้อย ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้อยู่ในแดนบวก-ลบสลับกัน ทั้งนี้ ตลาดฯยังคงไร้ปัจจัยใหม่จากต่างประเทศ

ขณะที่ตลาดมีปัจจัยที่ยังกดดันในขณะนี้อยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ความกังวลในการประชุมสภาคองเกรสของผู้นำสหรัฐฯเกี่ยวกับปัญหา Fiscal Cliff 2.ความกังวลที่กรีซจะสามารถไถ่ถอนหนี้ 4,000 ล้านยูโรได้หรือไม่ และ 3.ตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นที่ติดลบในไตรมาส 3

อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าวันนี้จะมีแรงซื้อหุ้นแบบกระจายในหุ้นขนาดเล็ก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ก็คงจะยังมีแรงขายอยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,285-1,290 จุด ส่วนแนวต้าน 1,298-1,302 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(12 พ.ย.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 12,815.08 จุด ลดลง 0.31 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,380.03 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุด(+0.01%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 2,904.26 จุด ลดลง 0.62 จุด(-0.02%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 34.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 57.43 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 5.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.32 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.55 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ ลดลง 1.90 จุด

ตลาดหุ้นสิงคโปร์และตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุด

  • ตลาดหุ้นไทยปิดวานนี้(12 พ.ย.)ที่ระดับ 1,294.50 จุด เพิ่มขึ้น 3.67 จุด(+0.28%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 678.65 ล้านบาท เมื่อ 12 พ.ย.55
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการเมื่อวานนี้(12 พ.ย.) ที่ 85.57 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.50 ดอลลลาร์หรือ 0.6%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์เมื่อวานนี้(12 พ.ย.) ปิดที่ 5.4 เหรียญฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิดตลาดเช้าที่ระดับ 30.65/67 อ่อนค่าเล็กน้อย ตลาดยังกังวลปัญหาหนี้กรีซ
  • ธปท.เกาะติดสหรัฐแก้ปัญหาการคลัง หวั่นกระทบความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ชี้ ทั่วโลกเฝ้าจับตาดู เชื่อความไม่แน่นอนในอนาคตยังมีอยู่มาก ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมอัดฉีดครั้งใหญ่ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่ากำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
  • คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 12 พ.ย. มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน 5 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา ลาวพม่า และเวียดนาม รวมทั้งการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน(Rice Trade Zone หรือ RTZ) เพื่อผลักดันการสร้างความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวอย่างเป็นรูปธรรม สร้างเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก และป้องกันการลักลอบนำเข้าข้าวจากประเทศที่มีชายแดนติดกับไทย
  • ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พ.ย. มีมติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลงนามในข้อตกลง แถลงการณ์ร่วมและบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐ 4 ฉบับ ในโอกาสที่นายบารัก โอบามาประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินทางมาเยือนไทยในวันที่ 18-19 พ.ย.นี้
  • นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ต้องการให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยข้อมูลผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ทั้งจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมที่ปิดตัวลง และแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง เพราะทราบว่าภาครัฐมีข้อมูลแต่ไม่ยอมเปิดเผย และมักอ้างว่าโรงงานปิดตัวจากสาเหตุอื่นไม่ใช่ค่าแรง การเปิดเผยข้อมูลจะทำให้ทราบผลกระทบที่แท้จริงได้
  • ค่ายยักษ์ "โตโยต้า" คาดตลาดรถยนต์ไทยในปีหน้าสถานการณ์ยังสดใส หรือทำยอดขายไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่ 1.4 ล้านคันแน่นอน พร้อมเดินเครื่องผลิตเต็มที่ สั่งโรงงานทำ 2 กะอัดล่วงเวลา และเตรียมปรับ "แทคไทม์" ให้ต่ำกว่า 5.6 วินาที ซึ่งถือว่าผลิตรถเร็วที่สุดในโลก เล็งเปิดตัวรถใหม่เพียบ ล่าสุดปล่อย "อัลติส 1.8"รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 พร้อมปรับราคาลง 20,000-30,000 บาท ตามภาษีสรรพสามิตที่ลดลง
  • กระทรวงการคลัง และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ผนึกกำลังจัดโรดโชว์พบนักลงทุนอังกฤษ ชูโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทย หวังดึงเงินลงทุนผ่านตลาดทุน
  • กระทรวงการคลัง ออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 1 วงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ปีละ 3.75% โดยเสนอขายนักลงทุนรายย่อย วงเงินซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาทและวงเงินซื้อขั้นสูง 2 ล้านบาทต่อ 1 ธนาคารตัวแทนจำหน่ายเพื่อเป็นการส่งเสริมการออมของนักลงทุนรายย่อยและประชาชนทั่วไป

*หุ้นเด่นวันนี้

  • INTUCH(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)ราคาหุ้นปรับตัวลง 6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และลดลง 15% จากจุดสูงสุด ในช่วงเดือน ส.ค. เชื่อสะท้อนปัจจัยลบมากแล้ว จึงเป็นโอกาส"ทยอยสะสม"สำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนเงินปันผล โดย Consensus คาดการณ์เงินปันผลปี 2556 หุ้นละ 4.65 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7.8% และคาดราคาหุ้นมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก หากศาลปกครองกลางไม่รับฟ้องคดี 3G หรือรับฟ้องแต่ผลตัดสินท้ายสุดแล้วไม่คุ้มครองการประมูล 3G ซึ่งจะส่งผลให้การจัดสรรใบอนุญาต 3G ให้กับเอกชน เป็นไปได้ตามกำหนดการณ์เดิมภายใน 18 ม.ค.56
  • KK(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)“ทยอยสะสม"เป้า 53 บาท รายงานยอดสินเชื่อเดือน ต.ค. เติบโต +1.5% mom และ +20.1% Ytd และคาดว่าสินเชื่อช่วงที่เหลือของปีจะขยายตัวต่อเนื่อง เพราะเข้าสู่ High Season ของธุรกิจ และผลักดันกำไรสุทธิ 4Q55 ให้เติบโตโดดเด่น แตะ 1 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้กำไรจาก PHATRA เต็มไตรมาส และคาดจะบันทึกรายได้ค่าธรรมเนียมราว 200—250 ล้านบาท ใน 4Q55 จากการเป็นที่ปรึกษาขายหุ้นเพิ่มทุนของ PTTEP
  • THCOM(เกียรตินาคิน)วันนี้หุ้นอาจจะได้รับความกดดันจากการรายงานผลขาดทุนสุทธิ 107 ล้านบาท ผิดความคาดหมายที่คาดว่าจะมีกำไร จากการตั้งสำรองฯด้อยค่าของ MFONE และ WATTA รวม 210 ล้านบาท แต่ผลประกอบการของงบเฉพาะของ THCOM ที่มาจากธุรกิจดาวเทียมค่อนข้างโดดเด่น เชื่อ THCOM ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ แนะ"ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"มูลค่าเหมาะสม 23.60 บาท
  • MAJOR(เกียรตินาคิน)"ซื้อ"เป้า 24.60 บาท มองราคาหุ้น MAJOR ได้สะท้อนต่อการอ่อนตัวของกำไร 3Q55 แล้ว แต่ยังไม่สะท้อนต่อหน้าหนังที่กลับมาแข็งแรงมากขึ้นใน 4Q55 รวมทั้งโอกาสการเติบโตในปี 2556 จากแผนการลงทุนเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์กว่า 100 โรง แม้ว่าต้นทุนจากค่าเสื่อมราคาจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เชื่อรายได้จากการขายบัตรชมภาพยนตร์จะสามารถชดเชยได้ในระยะยาว จึงเลือกให้ MAJOR เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์
  • RCI(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อ"เป้า 2.86 บาท ผลประกอบการ 3Q55 กลับมามีกำไรจากการดำเนินงานครั้งแรกในรอบ 18 ไตรมาสที่ 3 ล้านบาท จากขาดทุน 21 ล้านบาทใน 2Q55 และ ขาดทุน 33 ล้านบาทใน 3Q54 รายได้อยู่ที่ 282 ล้านบาท เติบโต 13% QoQ และ 2% YoY อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% เพิ่มขึ้นชัดเจนจาก 24% ใน 3Q54 ยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเหลือ 28% จาก 36% ใน 2Q55 และ 35% ใน 3Q54 หลัง UMI เข้าบริหารงานทำให้เกิดประโยชน์จากการเป็นพันธมิตร(Synergy) และใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารต้นทุนลดค่าใช้จ่ายให้กับ RCI ได้อย่างมีนัยยะ
  • "ทยอยเก็บหุ้นปันผลสูง"(ฟินันเซีย ไซรัส)เนื่องจากช่วงเวลานี้ถึงสิ้นเดือน พ.ย. เป็นช่วงที่เหมาะในการทยอยเก็บหุ้นปันผลสูง เพราะจากสถิติในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่าการซื้อหุ้นปันผลให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือในช่วงครึ่งเดือนหลังของเดือน พ.ย. และขายก่อนขึ้น XD ประมาณ 2 สัปดาห์ ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11% (ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน) แนะนำ TMT, CFRESH, TISCO, DCON, IHL, SAMART, KCAR, CSL และ MODERN

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ