ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์รายได้ในปี 55 เหลือ 2.2-2.3 หมื่นล้านบาท จากที่เคยตั้งเป้าไว้ 2.7 หมื่นลบ.
"นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษัทเก็บเกี่ยวกำไรมาได้แล้วเกือบ 800 ล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์"นายวัฒน์ชัย กล่าว
สาเหตุที่ทำให้รายได้ปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องมาจาก บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการ 3G ของทีโอทีน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ มาที่ประมาณ 4 พันล้านบาทจากปีก่อน 6 พันล้านบาท โดยปีนี้จะติดตั้งโครงข่าย 3G ได้ 4 พันสถานีฐานและจะติดติดตั้งเสร็จครบ 5.2 พันสถานีฐานภายในไตรมาสแรกปี 56 และงานประมูลภาครัฐล่าช้าจากต้นปีเป็นปลายปี รวมทั้งยอดขายโทรศัพท์มือถือช่วงครึ่งปีแรกไม่ดี อย่างไรก็ตาม บริษั่ทสามารถลดต้นทุนได้ทำให้สามารถทำกำไรได้เกินเป้าหมาย
ในไตรมาส 4/55 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้และกำไรสุทธิดีกว่าไตรมาส 3/55 เนื่องจากการพลิกฟื้นของบมจ.สามารถไอ-โมบาย(SIM) ที่คาดว่าจะมียอดขายสมาร์ทโฟนในไตรมาส 4 นี้ประมาณ 357,000 เครื่อง ทำให้ยอดขายเฉลี่ยต่อเครื่องสูงขึ้นเป็น 2,500 บาท และปีหน้าคาดว่าจะมียอดขายสมาร์ทโฟน 1.53 ล้านเครื่อง
ขณะที่ บมจ.สามารถ เทเลคอม (SEMTEL) คาดว่าในไตรมาส 4 นี้จะร่วมเข้าประมูลและมีงานใหม่เข้ามาอีก 10,175 ล้านบาท จากงานในมือ (Backlog) ที่มีมูลค่า 10,537 ล้านบาท และคาดว่าในปี 56 จะมีงานเข้าประมูลใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท
นายวัฒน์ชัย คาดว่า ในปีหน้ารายได้และกำไรจะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากทีโอทีจะเปิดประมูลขยายโครงข่าย 3G เฟส 2 ในปีหน้าจำนวน 1 หมื่นกว่าสถานีฐาน มูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่ม SAMART จะยังคงจับมือกับบมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ที่ร่วมกันในเฟส 1 โดยคาดว่าบริษัทจะดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง สัดส่วน 60-70% ของมูลค่าโครงการ
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงจะขอเคลียร์กับทีโอทีเกี่ยวกับพื้นที่ติดตั้งโครงข่าย เพราะเฟส 1 ที่ผ่านมาพบปัญหาการมอบพื้นที่ติดตั้งช้ากว่ากำหนดการทำให้งานล่าช้ากว่าแผนไป แต่บริษัทไม่คิดฟ้องทีโอที
นอกจากนี้ เมื่อมีการติดตั้งโครงข่าย 3G เฟสแรกครบแล้ว SIM จะทำการตลาดอย่างจริงจัง หลังจากที่บริษัทได้รับเลือกจากทีโอทีให้เป็น MVNO จำนวน 2.88 ล้านเลขหมายหรือ 40% ของความจุปริมาณโครงข่าย คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาภายในปีนี้หลังจากที่ทีโอทืได้มีคณะกรรมการชุดใหม่แล้ว โดยปัจจุบัน SIM มีลูกค้า 3GX จำนวน 2 แสนราย
รวมทั้งบริษัทจะขยายธุรกิจ call center ไปยังประเทศพม่า และกัมพูชาในปีหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า ในปี 56 คาดว่ารายได้ประจำของบริษัทจะเพิ่มมาเป็น 8 พันล้านบาทจากปีนี้ 5 พันล้านบาท และในปี 58 รายได้ประจำจะเพิ่มสัดส่วนมาที่ 50% ของรายได้รวมหรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางแผนไว้