ในปี 56 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 34 โครงการ มูลค่ารวม 2.5-3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ ทั้งทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว 70-75% และคอนโดมิเนียม 25-30% ซึ่งจะเห็นการเปิดโครงการในต่างจังหวัดทั้งภูเก็ตและชลบุรีมากขึ้น รวมถึงเล็งที่ดินไว้ที่เชียงใหม่ โดยตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินรวม 6 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีต่อๆไปด้วย
นอกจากนี้ อัตรากำไรสุทธิ (net profit margin) คาดว่าจะอยู่สูงกว่าปี 55 ที่คาดว่าอยู่ที่ 14-15% เนื่องจากเป็นปีที่มีการโอนคอนโดมิเนียม ถึง 1 ใน 3 ซึ่งคอนโดมิเนียมมีมาร์จิ้นดีกว่าโครงการแนวราบ
"ในปีหน้าจะเป็นปีที่บริษัทจะกลับมาโดดเด่นเมื่อเทียบอุตสาหกรรม ทั้งในแง่ของ best performance และโครงสร้างฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง" นายประเสริฐ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน(backlog) ราว 3.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะมี backlog ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการทยอยเปิดโครงการใหม่ช่วงปลายปี โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 56 ราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะผลักดันรายได้ทั้งปีให้เป็นไปตามเป้าหมาย และทำสถิติรายได้สูงสุดใหม่อีกครั้ง
ด้านนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า โครงการลงทุนในต่างประเทศ โดยโครงการที่มัลดีฟ คาดว่าจะปิดการขายได้ในไตรมาส 2/56 จากปัจจุบันมียอดโอนและรับรู้รายได้แล้ว 300 ล้านบาท และจะไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่อีก
ส่วนโครงการในบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ขณะนี้มียอดขายสะสมแล้ว 700 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1.6 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ขณะที่โครงการในประเทศเวียดนาม ในไตรมาส 4/55 คาดว่าจะได้ใบอนุญาตในการเปิดดำเนินการ โดยบริษัทได้สิทธิการพัฒนาโครงการเฟสแรกแล้ว คาดว่าจะสามารถสร้างบ้านตัวอย่างและเปิดการขายได้ในต้นปี 56
สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 56 มองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง 5-10% แต่เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้น จากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาท อาจทำให้บริษัทต้องมีการปรับขึ้นราคาบ้านอีก 5% ตามต้นทุนที่สูงขึ้น