ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 30-40% ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10% ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อน และปีหน้าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากงานในมือ(backlog)มีมาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีงานเสนอเข้ามามาก ขณะที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ยังมียอดขายที่ดี
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่งในปีหน้า มูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม low rise และ high rise ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว คาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงปลายปี 56 หลังจากนั้น บริษัทจะชะลอการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ แต่จะจัดหาที่ดินเพื่อเตรียมรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก หรือโครงการแนวราบที่ใช้เวลาก่อสร้างไม่นาน เพื่อให้สามารถโอนและรับรู้รายได้เร็วขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทมี backlog ราว 5.8 พันล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในไตรมาส 4/55 ราว 15% ของมูลค่าทั้งหมด ส่วนที่เหลือรับรู้รายได้ในปีหน้า นอกจากนั้น บริษัทยังได้ยื่นประมูลงานรับเหมาก่อสร้างอีกเป็นมูลค่ารวม 4-5 พันล้านบาท คาดจะได้รับงานราว 70% หรือเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.0-2.5 พันล้านบาท ซึ่งจะรู้ผลการประมูลในปีหน้า
"งานรับเหมาก่อสร้างตอนนี้ลูกค้าเดินมาหาเราเอง เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างเติบโตต่อเนื่อง ลูกค้ามีความต้องการให้งานเยอะมาก และเห็นว่าบริษัททำแล้วได้งาน ต่อให้มาร์จิ้นสูงลูกค้าก็รับได้"นายชัยรัตน์ กล่าว
นายชัยรัตน์ มองว่า ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจในปี 56 คือการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนหลายอย่างที่สูงขึ้น แต่ในส่วนบริษัทได้มีการล็อคต้นทุนไว้แล้วทั้งราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง โดยเฉพาะงานใหม่ ได้มีการพิจารณามูลค่างานตามต้นทุนใหม่แล้ว