นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน PTT คาดกำไรสุทธิในปีนี้มีระดับใกล้เคียงปีก่อน โดยคาดว่าในปีนี้จะมี stock gain เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันในสิ้นปีนี้อยู่ที่ระดับ 105-110 เหรียญ/บาร์เรล และราคาน้ำมันในไตรมาส 4/55 น่าจะทรงตัว หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงเป็นนายบารัค โอบามา ซึ่งแนวโน้มเกิดการสู้รบกับอิหร่านเป็นไปได้น้อย ขณะเดียวกันสหรัฐฯจะขยายความร่วมมือในอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะพม่า
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีหน้ายังขึ้นกับหลายปัจจัย โดยคาดว่าราคาน้ำมันปีหน้าคงไม่หวือหวา โดยมองราคาอยู่ที่ 105-115 เหรียญ/บาร์เรล ประเมินการขึ้นลงของราคาน้ำมันมีผลกระทบต่อรายได้ราว 1 พันล้านเหรียญ และหาก ปตท.ได้ปรับราคาขาย NGV และ LPG ตามราคาตลาดก็จะช่วยผลประกอบการเชิงบวก จากปัจจุบัน ปตท.แบกรับภาระเรื่องดังกล่าวมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้ รมว.พลังงาน อยู่ระหว่างทำเรื่องโครงสร้างราคา NGV และ LPG เพื่อให้เกิดความชัดเจน
ขณะที่ช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ คณะกรรมการบริษัทจะทบทวนงบทุน 5 ปี ที่เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2-2.5 พันล้านเหรียญ/ปี ยังไม่รวมดีล M&A นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมเงินในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)จำนวน 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรู้ราคาขายหลังทำ book build ในวันที่ 30 พ.ย.และเตรียมวงเงิน 600-700 ล้านเหรียญในการเข้าซื้อแหล่งถ่านหิน Sakari ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะจบดีลต้นปี 56 โดยมีผู้ถือหุ้นเสนอขายแล้วกว่า 90%