นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH เปิดเผยว่าในปี 56 บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนอย่างน้อย 7 พันล้านบาทส่วนใหญ่ใช้ลงทุนโครงการในลาว ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อย โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสา และในประเทศ เป็นโครงการพลังงานลมที่ห้วยบง
นอกจากนี้ ในปีหน้าคาดว่าจะได้ความชัดเจนการลงทุนพลังงานทดแทนในออสเตรเลีย ขนาด 130 เมกะวัตต์ อาจจะเป็นพลังงานลม หรือโซล่าร์ฟาร์ม มูลค่าลงทุนประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งมีแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าก๊าซ และในนิวซีแลนด์ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโรงไฟฟ้าถ่านหินในกัมพูชา ขนาด 1,800 เมกะวัตต์ในจังหวัดเกาะกง คาดระยะแรกจะผลิต 600 เมกะวัตต์ ซึ่งปลายปีนี้จะได้ข้อสรุปผลการศึกษา เพราะต้องพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความเหมาะสมของโครงการอย่างละเอียด อย่างไรก็ดี ความต้องการใช้ไฟฟ้าในกัมพูชายังสูง โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญและเสียมเรียบ
ส่วนการเข้าลงทุนไปลงทุนในพม่า นอกเหนือจากที่บริษัทร่วมมือกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD)ในโครงการทวายแล้ว บริษัทยังเห็นโอกาสขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า เนื่องจากพม่ามีความต้องการไฟฟ้าสูงมาก เพราะมีประชากรกว่า 70 ล้านคน ขณะที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 4 พันเมกะวัตต์ และเครื่องผลิตไฟฟ้าอยู่ในสภาพเก่า ไม่เคยได้รับการซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นผลจากการปิดประเทศ แต่ก็ต้องรอดูความชัดเจนกฎหมายการลงทุนในพม่าเสียก่อน
สำหรับแผนการเข้าซื้อกิจการเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียนั้น นายนพพล กล่าวว่า มีการเสนอราคามาสูงทั้งที่ราคาถ่านหินในปัจจุบันปรับตัวลงมาก จึงยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา แม้ว่าจะพูดคุยกันอยู่หลายราย อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าซื้อเหมืองถ่านหิน เพราะในอนาคตมีแผนจะนำถ่านหินไปใช้ในโรงไฟฟ้า เพียงแต่รอจังหวะหรือได้ราคาที่เหมาะสมก่อน
ด้านการลงทุนในประเทศ บริษัทจะเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศกำลังการผลิต 5,400 เมกะวัตต์ หรือแบ่งเป็น 6 โรงๆละ 900 เมกะวัตต์ RATCH มั่นใจว่าการประมูลรอบนี้จะไม่มีปัญหาด้านคุณสมบัติเหมือนรอบที่ผ่านมา โดยธนาคารออมสิน ได้ทยอยขายออกบางส่วน และเปลี่ยนผู้ถือเป็นกองทุนที่มีสภาพนิติบุคคล ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยังถือหุ้นใหญ่ 45% อย่างไรก็ดีจะต้องรอดูเงื่อนไขในการเข้าประมูลว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศในปีหน้าเติบโตอย่างน้อย 5% โดยในงวด 9 เดือนที่ผ่านมามีความต้องการเติบโตเกือบ 10%
นายนพพล คาดว่า ในปีนี้ กำไรสุทธิจะออกมาดีกว่าปีที่แล้วอย่างมาก โดยในงวด 9 เดือน ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 6,875 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,318 ล้านบาท หรือเติบโต 59.23%