สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กนั้น บริษัทคาดการณ์การบริโภคเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศปีนี้เติบโต 9.2% ถึง 6.4 ล้านตันซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดในประวัติการณ์ และความต้องการใช้เหล็กทุกประเภทภายในประเทศที่ 16 ล้านตันซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นเดียวกัน สืบเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศที่เข้มแข็ง การลงทุนจากภาครัฐ การเติบโตของอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงาน และก่อสร้าง ในขณะที่ราคาเหล็กและวัตถุดิบได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 และเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยเฉพาะราคาแร่เหล็กได้ฟื้นตัวจากราคาประมาณ US$ 88 ต่อตัน CFR China ณจุดต่ำสุดมาที่ประมาณ US$124 ต่อตัน CFR China เมื่อเร็วๆนี้
ผลการดำเนินงานของ SSI ไตรมาสที่ 3/55 มีผลขาดทุนสุทธิ 4,782 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 5,022 ล้านบาท ในไตรมาส 2/55 และขาดทุนสุทธิ 2,965 ล้านบาท ในไตรมาส 3/54 รายได้รวมของกลุ่ม 15,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาส2/55 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนส่งสินค้าได้มากถึง 617 พันตันและสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 36% ของยอดขายรวม ส่วนธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่ประเทศอังกฤษใช้กำลังการผลิตที่ 69% ผลิตเหล็กแท่งแบนได้ 620 พันตัน และสร้างรายได้จากลูกค้าภายนอกเป็นมูลค่า 2,584 ล้านบาท
"ไตรมาส 3ที่ผ่านมาเป็นช่วงภาวะตลาดที่ยากลำบากมากราคาเหล็กและวัตถุดิบลดลง อย่างหนักเนื่องจากความยืดเยื้อของปัญหากลุ่มประเทศอียูและการชะลอตัวการเติบโตของจีน ทำให้เรา มีส่วนต่างราคาสินค้าติดลบและขาดทุนสินค้าคงคลัง ในขณะที่ธุรกิจโรงถลุงเหล็กยังอยู่ในช่วงเริ่มผลิตและยังมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง สองปัจจัยหลักนี้ทำให้เราขาดทุนหนักในไตรมาส 3"นายวิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสเดียวกัน ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนมีผลงานเยี่ยมมากในด้านการผลิตและขาย ถึงแม้ว่าปัญหาการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนและโครเมียมยังคงมีต่อเนื่อง เราสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ลดต้นทุนการผลิตลงจากผลผลิตที่สูง ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์มาจากวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนที่มีต่อเนื่องมาจากโรงงานเอสเอสไอทีไซด์ ดังนั้น ถึงแม้ว่าภาวะตลาดจะท้าทายมาก เราก็สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงปฏิบัติการและผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงกับธุรกิจต้นน้ำเริ่มเห็นผล ซึ่งจะส่งผลให้เราสามารถมุ่งไปสู่รายได้สูงสุด 5.8 หมื่นล้านตามแผน
นายวิน กล่าวว่า ตามที่บริษัทได้ประกาศแผนการจัดโครงสร้างทางการเงินแบบเบ็ดเสร็จ (Comprehensive Financial Plan) เพื่อให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งส่วนหนึ่งประกอบด้วยแผนการระดมทุนโดยขายหุ้นสามัญจำนวนประมาณ 19,000 หุ้นที่ราคา 0.68 บาทต่อหุ้น ให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงและนักลงทุนทั่วไปนั้น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน บริษัทพันธมิตรทางธุรกิจ 2 ราย ได้แก่ เจเอฟอี สตีลคอร์ปอเรชั่น และ มารูเบนิ อิโตชู สตีล ได้เข้าจองซื้อหุ้นจำนวน 2,267,816,176 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,542 ล้านบาท
"บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการในการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในส่วนอื่นและจะรายงานอีกครั้งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น ทั้งนี้บริษัทขอขอบคุณคู่ค้าและผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ และคนของเรา การเพิ่มทุนครั้งนี้ทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางการเงินกลับมา ต้นทุนทางการเงินลดลง เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับยอดขายที่กำลังเติบโต" นายวิน กล่าว