"ได้รับงานอีก 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการยืนยันงานเบื้องต้นแล้ว แต่จะต้องรอเซ็นสัญญาก่อนจึงจะเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งจะลงนามในสัญญาภายในปีนี้แน่นอน สำหรับในไตรมาสที่ 4 นั้น บริษัทฯ จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการรับรู้รายได้ของโครงการในหลายประเทศ และการขายหุ้นส่วนหนึ่งในบริษัท LNVT ในประเทศอินเดีย" นายเนียลเซ่นกล่าว
สำหรับปี 56 คาดว่าจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท เป็นกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทประมาณ 100 ล้านบาท และจากการลงทุนในบริษัทย่อยประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับระบบการควบคุมภายใน การบริหารต้นทุน และหลักการรับรู้รายได้ใหม่
"ต่อจากนี้ไป จะเห็นผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่แกว่งขึ้นลงมากเหมือนในอดีต เพราะนอกจากการได้งานโครงการใหม่ๆ แล้ว การลงทุนในบริษัทย่อยในต่างประเทศก็จะเก็บเกี่ยวรายได้มากขึ้น ทั้งในรูปแบบของค่าที่ปรึกษา ค่ารับเหมาทำโครงการ เงินปันผล และบางโครงการที่เห็นว่าเงินที่ลงทุนไว้สร้างผลตอบแทนที่ดี ก็อาจมีการขายออกเพื่อรับรู้กำไรเข้ามาด้วย" นายเนียลเซ่น กล่าว
นอกจากนี้ เพื่อให้บริษัทฯ มีเงินลงทุนเพิ่มเติมที่มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องให้บริษัทฯ ในระยะยาว บริษัทฯ ได้กำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 เพื่อขออนุมัติการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 396,692,350 หุ้น โดยแบ่งเป็นจำนวนไม่เกิน 51,000,000 หุ้น เสนอขายให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) และจัดสรรส่วนที่เหลือจำนวน 345,692,350 หุ้น เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 3 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ที่ราคา 1.25 บาทต่อหุ้น
“การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นก้าวย่างที่สำคัญ เพราะจะนำเงินเพิ่มทุนส่วนนี้ไปลงทุนในประเทศพม่า ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับ LVT เนื่องจากบริษัทฯ จะสามารถวางรากฐานสร้างทรัพย์สินถาวรที่จะสร้างรายได้และผลกำไรต่อเนื่องในอนาคตระยะยาว โดยปัจจุบันประเทศพม่ามีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ปีละประมาณ 7 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 2.2 ล้านตัน และคาดว่าความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 ล้านตัน" นายเนียลเซ่น กล่าว