อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าไตรมาส 4/55 ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากไตรมาส 3/55 มีผลขาดทุน เนื่องจากโรงแรมนาคาภูเก็ตจะทำรายได้ที่เข้ามาเต็มที่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ทำราคาแบบไม่มีโปรโมชั่น และโรงแรมระดับ 3-4 ดาวที่โดนผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อปลายปีก่อนก็จะทำรายได้กลับมาได้เต็มที่ในไฮซีซั่นของปีนี้
บริษัทยังมีแผนลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะมีการกันเงินราว 200-300 ล้านบาทเพื่อซื้อโรงแรม 3-4 ดาว แต่ก็ขึ้นกับว่าจะมีโรงแรมตรงตามความต้องการหรือไม่ และจะมีการลงทุนปรับปรุงโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ พัทยา และซีบีช พัทยา รวมทั้งลงทุนต่อเนื่องในการปรับปรุงโรงแรม แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ หลังจากปีนี้ลงทุนไปทั้งหมด 1,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ 5 ปี ที่บริษัทตั้งวงเงินลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
นายไกรลักขณ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 2/56 โดยจะขายโรงแรมไอบิส ป่าตอง และไอบิส พัทยา เข้ากองทุนฯ ดังกล่าว และตั้งเป้าว่าจะขายโรงแรมเข้ากองทุนปีละ 1 แห่ง ซึ่งมองว่าจะทำให้ได้กำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามาในทันที และสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายปันผล และใช้เป็นกระแสเงินสดเพื่อการลงทุนในอนาคต
และอีกส่วนกก็จะไปชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ปัจจุบันที่มีอยู่ 2 เท่า จะลดเหลือ 1.3-1.4 เท่า โดยขณะนี้บริษัทมีหนี้อยู่ทั้งหมดประมาน 7,500 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทยังจะมีการพิจารณาแนวทางดำเนินการกับที่ดินใน จ.กระบี่ ว่าจะสร้างเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ไอบิส หรือหากมองว่าไม่คุ้มทุนก็อาจจะขายที่ดินออกไป ซึ่งมองว่ามีกำไรมากอยู่แล้ว
นายไกรลักขณ์ ยังกล่าวว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ถือเป็นผลดีต่อธุรกิจโรงแรม เพราะประเทศไทยจะเป็นทางผ่านในภูมิภาค และเป็นศูนย์กลางในการติดต่อค้าขาย จะทำให้ต้องมีผู้คนเข้ามาใช้บริการในที่พักมากขึ้น และในเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทไม่เป็นผลกระทบ เพราะทางโรงแรมมีการจ่ายค่าแรงมากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว