สำหรับธุรกิจก่อสร้างยังคงเติบโตจากที่ TPOLY มีงานในมือ(backlog)ที่ประมาณ 4,300 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชน 55% และภาครัฐ 45% ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 20-25% ส่งผลให้รายได้รวมปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2,800-3,000 ล้านบาท ในส่วนของกำไรสุทธิในไตรมาส 3/55 ที่ลดลงเป็นผลมาจากการปรับต้นทุน ซึ่งทางบริษัทได้รับผลกระทบของค่าแรงและค่าวัสดุที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีหน้าอัตรากำไรสุทธิจะสามารถกลับมาได้เหมือนเดิมที่เคยทำไว้ที่ประมาณ 2.5-3%
ด้านธุรกิจพลังงานนั้น ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทลงทุนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ ซึ่งประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ชื่อ “บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้จะเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งหมดแทน TPOLY ตามสัดส่วนเดิม รวมทั้งจะเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าอื่นๆ ในอนาคต
บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด จะดำเนินการจัดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.55 มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่ง TPOLY จะถือหุ้น 100% แหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ รวมถึงการหาพันธมิตรผู้ร่วมทุนรายอื่น และการจัดหาสินเชื่อเพื่อใช้ในการดำเนินการ
ปัจจุบัน TPOLY มีโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย บริษัท ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ จำกัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 65% บริษัท ทุ่งสัง กรีน จำกัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 65% และ บริษัท บางสะพานน้อย ไบโอแมส จากัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 85%
"เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของธุรกิจพลังงานในอนาคต TPOLY จึงได้ว่าจ้าง บล.ทรีนิตี้ ในการศึกษาการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมา เพื่อลงทุนในธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มเห็นนโยบายที่ชัดเจนของโฮลดิ้งในต้นปีหน้า สอดรับกับการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกของเรา คือโรงไฟฟ้าช้างแรก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ที่จะรับรู้รายได้ปีหน้าประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 2 และ 3 คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปี 57 และจะรับรู้รายได้ทั้งหมดทุกโครงการภายในปี 58 ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต"นายเจริญ กล่าว
ส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการ โมเดิร์นทาวน์โฮม ถนนรามอินทรา ภายใต้ชื่อโครงการ กรีนิช รามอินทรา มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เปิดขาย (Pre-Sale)ไปแล้วตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มียอดจองเข้ามาแล้ว 30% โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/55 ประมาณ 50-60 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะไปรับรู้ในปี 56 นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินเปล่าติดถนนหน้าโครงการกรีนิช รามอินทรา อีกประมาณ 6 ไร่ ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดีมาก เพราะอยู่ในแนวโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู ที่เตรียมจะพัฒนาโครงการใหม่ต่อไปอีกในอนาคต
"จาก backlog ที่เรามีอยู่ โครงการอสังหาที่มีการตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงการปรับโครงสร้างของกลุ่มพลังงานในการจัดตั้ง เป็นลักษณะของ Holding Company จะส่งผลให้อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ ในช่วงปี 56-58 เติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง"นายเจริญ กล่าว