TMILL เป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล (TSTE) ที่เล็งเห็นประโยชน์ในการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียน (Spin off) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รองรับการขยายตัวทางธุรกิจ โดย TMILL ประกอบธุรกิจโรงงานผลิตและจำหน่ายแป้งสาลี ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทกว่า 10 ตราสินค้า อาทิ แป้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตราเส้นทอง แป้งบะหมี่สดตราเส้นหยก แป้งบะหมี่สดตราเส้นเหลือง แป้งขนมปังตราปังแดง แป้งขนมปังตราปังเหลือง เป็นต้น
“ธุรกิจของ TMILL เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร จึงถือว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตไปพร้อมกับความต้องการในการบริโภคของประเทศ"นายชนิตร กล่าว
TMILL มีทุนชำระแล้ว 285 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 85 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ TSTE จำนวน 16,747,160 หุ้น เมื่อวันที่ 9-13 พ.ย.55 และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 68,252,840 หุ้น เมื่อวันที่ 14-16 พ.ย.55 ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 263.50 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล.เอเซีย พลัส (ASP)เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ TMILL เปิดเผยว่า การระดมทุนครั้งนี้บริษัทจะนำเงิน 140 ล้านบาท ไปชำระคืนเงินกู้ และอีก 123.50 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อีกทั้งเตรียมพร้อมขยายกำลังการผลิต ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับผลิตแป้งสาลี รวมทั้งถังไซโลสำหรับเก็บวัตถุดิบข้าวสาลีและแป้งสาลี เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก 250 ตันข้าวสาลีต่อวัน เป็น 500 ตันข้าวสาลีต่อวัน
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TMILL 3 รายแรก ได้แก่ TSTE ถือหุ้น 69.34% บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) ถือหุ้น 2.19 % นายวัชระ แก้วสว่าง ถือหุ้น 1.11% ราคา IPO ของ TMILL ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 13.76 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 8 ไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจาก 4 ไตรมาสที่ผ่านมามีเหตุการณ์น้ำท่วม และไฟไหม้เกิดขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามปกติของบริษัท จึงคำนวณกำไรสุทธิ เฉลี่ย 8 ไตรมาส ตั้งแต่ 1 ก.ค.53-30 มิ.ย.55 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 285 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.23 บาท
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะ และหลังหักสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด