BANPU ตั้งเป้ารายได้ปี 56-58 โตเฉลี่ยปีละ 10% ปริมาณขายโตเฉลี่ย 7%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 21, 2012 16:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.บ้านปู(BANPU) วางเป้าหมายรายได้ช่วงปี 56-58 เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% และปริมาณขายถ่านหินเติบโตเฉลี่ย 7% มาที่ 52.5 ล้านตันในปี 58 หลังจากได้มีการเลื่อนแผนลงทุนในมองโกเลียและออสเตรเลียเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงจากปัญหาซัพพลายที่ออกมาสู่ตลาดมากกว่าความต้องการใช้

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาถ่านหินได้ผ่านจุดต่ำสุดในปีนี้ไปแล้ว โดยขณะนี้ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วและจะทรงตัวไปจนถึงกลางปี 56 ก่อนจะดีดตัวสูงขึ้นเมื่อจากซัพพลายส่วนเกินในตลาดโลกที่มีอยู่ 80 ล้านตันหมดไป และคาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าราคาถ่านหินมีโอกาสจะปรับขึ้นมาในระดับ 100 เหรียญ/ตัน บวก/ลบ จากปัจจุบันราคาถ่านหินอยู่ที่ 90 เหรียญ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่มีความต้องการเพิ่มขึ้นปีละ 6-7%

ส่วนผลประกอบการในปี 55 และปี 56 รายได้และกำไรยังอยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าจะมีทิศทางลดลงตามราคาถ่านหิน แต่ปริมาณขายถ่านหินของบริษัทยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทมีแผนลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นทุนการผลิต และเตรียมลดรายจ่ายคงที่ลงอีก เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แม้ว่ากำไรอาจจะลดลงในบางช่วง และจะเน้นการรักษาระดับหนี้สินไม่ให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน

*เป้าปี 58 ปริมาณขาย 52.5 ล้านตัน ยังมองหาซื้อเหมืองขนาดกลางในอินโดฯเพิ่ม

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้าในแผนกลยุทธ์ช่วง 3 ปีจากนี้(ปี 56-58)รายได้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% และปริมาณขายถ่านหินจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% จากปีนี้มีปริมาณขาย 43 ล้านตัน โดยคาดว่าปี 58 จะมีปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 52.5 ล้านตัน

ทั้งนี้ จากราคาถ่านหินปรับลดลงมามากก่อนหน้านี้ ทำให้บริษัทตัดสินใจทบทวนแผนการลงทุนในช่วงที่เหลือของแผนงานปี 55-58 โดยลดวงเงินลงทุนเหลือ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิม 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเลื่อนแผนลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐออกไป แบ่งเป็นโครงการในออสเตรเลีย 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการในมองโกเลีย 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และในอินโดนีเซีย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

"โครงการในมองโกเลียได้เลื่อนการเริ่มโครงการออกไปก่อน ขณะที่โครงการออสเตรเลียบางแห่งที่มีต้นทุนการผลิตสูงจะเลื่อนออกไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการหงสาตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยบริษัทจะต้องชำระทุนอีก จำนวน 370 ล้านเหรียญสหรัฐในปลายปี 58 ที่โครงการนี้จะเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งจะทำให้กำไรจากธุรกิจไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีสัดส่วนราว 25-30% จากปีนี้อยู่ที่กว่า 20%

นอกจากนั้น ในช่วงที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงยังเป็นโอกาสของบริษัทในการแสวงหาซื้อกิจการเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะเหมืองขนาดกลางที่มีราคาเหมาะสม และอยู่ใกล้เคียงกับเหมืองของบริษัทในอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้

*มองแนวโน้มราคาถ่านหินฟื้น H2/56 อาจขยับขึ้น 100 เหรียญฯใน 2-3 ปี

นายชนินท์ มองว่า ราคาถ่านหินในขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากที่ลงไปในจุดต่ำสุดช่วงไตรมาส 3/55 และอาจจะยังทรงตัวในระดับนี้ไปจนถึงกลางปี 56 ก่อนจะดีดตัวขึ้น เนื่องจากคาดว่าซัพพลายส่วนเกินในตลาดโลกถูกกำจัดออกไปจนหมด แต่ราคาคงจะไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างหวือหวา เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีมากนัก

แต่ก็คาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าราคาถ่านหินมีโอกาสจะปรับขึ้นมาระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน บวก/ลบ จากปัจจุบันราคาถ่านหินอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าถ่านหินรายใหญ่มีความต้องการใช้เติบโตราว 6-7%

นายชนินท์ เชื่อว่า ราคาถ่านหินได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วที่ระดับ 82-83 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน สาเหตุที่ราคาปรับตัวลงมามาก เนื่องจากผลผลิตถ่านหินออกมาสู่ตลาดมากทั้งจากอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย โคลัมเบีย รัสเซีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐ ทำให้มีส่วนเกินอยู่ 80 ล้านตัน จากความต้องการ 800 ล้านตัน/ปี

"คาดว่าจะใช้เวลา 8-10 เดือนที่จะ drain ซัพพลายส่วนเกินไปได้หมด ประเมินว่าอยู่ในช่วงประมาณกลางปีหน้า ก็จะทำให้ราคาขายถ่านหินปรับตัวดีขึ้น และในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าราคาน่าขยับได้ดีขึ้นมาที่ 100 เหรียญ/ตัน บวก/ลบ"นายชนินท์ กล่าว

*คาดปี 56 รายได้ทรงตัว แต่กำไรอาจลดหากราคาขายเฉลี่ยไม่สูงกว่าปีนี้

นายชนินท์ กล่ราวว่า ในปี 56 คาดว่ารายได้จะทรงตัวจากปีนี้ แต่กำไรอาจลดลงจากปีนี้ แม้คาดว่าปริมาณขายจะเพิ่มเป็น 45.7 ล้านตัน หรือเติบโต 6.3% จากปีนี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับต่ำ แต่เชื่อว่าในปี 57 รายได้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด

"ทุกๆ 10 เหรียญที่ราคาถ่านหินเปลี่ยนไป กำไรของบริษัทจะเปลี่ยนแปลง 5-6 พันล้านบาท ...รายได้ปีหน้าน่าจะทรงตัว กำไรปีหน้าถ้าราคาถ่านหินไม่ได้ดีกว่าปีนี้ ก็น่าจะต่ำลง"นายชนินท์ กล่าว

นายชนินท์ คาดว่า ราคาขายถ่านหินในปีนี้จะอยู่เฉลี่ยที่ 92 เหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่มีราคาขายเฉลี่ย 97 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนในปี 56 ประเมินเบื้องต้นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 80 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งอาจจะขยับได้อีก โดยขณะนี้ราคา spot อยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ทั้งนี้ บริษัทได้ทำสัญญาขายถ่านหินล่วงหน้าแบบกำหนดราคาไปแล้ว 20% ส่วนที่เหลือคาดว่าที่ทำสัญญาขายแล้วแต่ยังไม่กำหนดราคามีโอกาสที่จะได้รับราคาที่มีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงกลางปีหน้า

ส่วนปริมาณขายในปี 56 คาดว่าจะอยู่ที่ 45.7 ล้านตัน จากปี 55 อยู่ที่ 43 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่จะยังคงมาจากเหมืองในอินโดนีเซียที่ปีหน้าจะผลิตได้ 28.5 ล้านตัน ออสเตรเลีย 14.5 ล้านตัน และจีน 2.7 ล้านตัน(ตามสัดส่วนถือหุ้น) โดยเหมืองที่เกาเหอในจีนจะเริ่มผลิตปีหน้าที่จำนวน 5 ล้านตัน

ขณะเดียวกันแผนในปี 56 บริษัทจะพยายามไม่มีหนี้เพิ่ม และตั้งเป้าปรับลดค่าใข้จ่ายการบริหาร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ลง 20% เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไรได้มากขึ้นในภาวะที่ราคาขายไม่ได้ปรับขึ้นสูงมาก หลังจากการปรับลดต้นทุนการผลิตประสบผลสำเร็จ

*ปี 55 ยังทำกำไรได้ดีแม้ต่ำกว่าปีก่อน, Q4/55 กำไรลดลง QoQ

นายชนินท์ ย้ำว่า ในปี 55 บริษัทยังทำกำไรได้ดีทุกแห่งทั้งในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาถ่านหินจะปรับตัวลงมากก็ตาม เนื่องจากบริษัทได้ปรับลดต้นทุนการผลิตทั้งเหมืองในอินโดนีเซียมาที่ 49.6 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในไตรมาส 3/55 จาก 52-53 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงครึ่งแรกของปี 55 และเหมืองในออสเตรเลีย ปรับลดต้นทุนการผลิตมาที่ 47 เหรียญสหรัฐ/ตันในไตรมาส 3/55 จาก 53 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/55 จะต่ำกว่าในไตรมาส 3/55 ที่มีกำไรสุทธิ 2.26 พันล้านบาท เนื่องจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี(BLCP)จะปิดซ่อมบำรุงราว 1 เดือน ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรในธุรกิจโรงไฟฟ้าลดลง รวมทั้งเหมืองในออสเตรเลียได้หยุดการผลิตประมาณกว่า 1 เดือนเพื่อย้ายเครื่องจักรไปยังเหมืองที่มีต้นทุนต่ำกว่า

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งได้กำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมมีอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลประมาณกว่า 30% ของกำไรสุทธิ

"ทั้งปีก็ยังมีกำไรดีอยู่ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะจ่ายเงินปันผล โดยครึ่งปีแรกจ่ายไปแล้ว 9 บาทต่อหุ้น ฝ่ายบริหารต้องการรักษาการจ่ายเงินปันผลให้สม่ำเสมอ"นายชนินท์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ