ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน-คงเครดิตองค์กร "IVL" ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 23, 2012 10:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทที่ระดับ “A+" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เดิม อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ชั้นนำระดับโลก ตลอดจนความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและการผลิตที่มีประสิทธิภาพจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก อุปทานส่วนเกินของกรดเทอเรฟธาลลิกบริสุทธิ์ (Purified Terephthalic Acid — PTA) และโพลีเอธิลีน เทอเรฟธาลเลท (Polyethylene Terephthalate — PET) ในภูมิภาคเอเซีย ตลอดจนการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของบริษัท ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถมีผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งได้รับประโยชน์จากการมีฐานธุรกิจทั่วโลกและระบบการผลิตที่ครบวงจร นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอเอาไว้ได้เพื่อช่วยบรรเทาความผันผวนจากธุรกิจปิโตรเคมี

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ภายใต้ชื่อเดิมคือ บริษัท บีคอน โกลโบล จำกัด ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 และปัจจุบันกลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลดลงจาก 92.9% เหลือ 66.4% บริษัทลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย การผลิต PTA และ PET รวมทั้งผลิตเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์และผลิตโมโนเอธิลลีนไกลคอล (Mono Ethylene Glycol — MEG) ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 6.62 ล้านตันต่อปี ซึ่งประกอบด้วยกำลังการผลิตเทียบเท่า MEG ขนาด 0.55 ล้านตันต่อปี กำลังการผลิต PTA ขนาด 1.76 ล้านตันต่อปี กำลังการผลิต PET ขนาด 3.43 ล้านตันต่อปี และกำลังการผลิตเทียบเท่าเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ 0.88 ล้านตันต่อปี

สำหรับห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์นั้นมี PTA และ MEG เป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิต PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ โดย PET มีการใช้อย่างกว้างขวางในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม อาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน เวชภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในขณะที่เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์นั้นใช้ในอุตสาหกรรมปลายน้ำหลายประเภท ได้แก่ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอที่ใช้ภายในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เส้นใยที่ไม่ทอ สิ่งทอชนิดพิเศษ และอุตสาหกรรมยานยนต์ PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถใช้ทดแทนวัสดุอื่นได้ เช่น แก้ว อะลูมิเนียม และเส้นใยที่ทำจากฝ้าย PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์เป็นที่นิยมเพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่และมีราคาถูก คุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยพยุงอุปสงค์ของ PET เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลง

บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เมื่อปี 2538 โดยเริ่มการผลิต PET ที่จังหวัดลพบุรี (ประเทศไทย) ภายใต้ชื่อ บริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ จำกัด (มหาชน) ด้วยเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ระดับสากล บริษัทได้ขยายการดำเนินงานอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2551 จากการซื้อกิจการที่ดำเนินการผลิตแล้วและพัฒนาโครงการโดยบริษัทเอง การขยายการดำเนินงานนั้นมีเป้าหมายเพื่อให้มีการผลิตที่ครบวงจรรวมทั้งให้มีฐานการผลิตและตลาดที่ครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ ให้มากที่สุด สำหรับโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทเองล่าสุดได้แก่ โครงการผลิต PET ในประเทศไนจีเรีย ทวีปอาฟริกา ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตในเดือนกรกฎาคม 2555 การลงทุนของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ถึงครึ่งแรกของปี 2555 ได้ใช้งบประมาณไป 35,497 ล้านบาทในการซื้อกิจการเส้นใย กิจการ PET และกิจการ MEG รวมถึงการลงทุนในกิจการ PTA ในลักษณะของการร่วมทุนในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทหลังการควบรวมกิจการจะต้องติดตามต่อไป

ปัจจุบันบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สมีฐานการผลิตกระจายอยู่ใน 15 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป (เอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาฟริกา) ความสำเร็จในการขยายธุรกิจของบริษัทส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการซื้อกิจการที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างโดยซื้อได้ในราคาต่ำ รวมทั้งความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ ๆ นอกจากนี้ การที่บริษัทมีฐานการผลิตกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคที่สำคัญยังช่วยให้บริษัทเข้าถึงฐานลูกค้าได้ทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทสามารถคงอัตราการใช้กำลังการผลิตได้ในระดับสูง การควบคุมปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นผลมาจากการมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเองจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร รวมถึงการมีโรงงานที่ใช้พื้นที่ร่วมกับผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการกีดกันทางการค้าในตลาดที่สำคัญ เช่น อเมริกาเหนือและยุโรป อีกทั้งการที่บริษัทมีการผลิตครอบคลุมห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่การผลิต PTA และ MEG จนถึงการผลิต PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์นั้นช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรให้สูงขึ้นและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้นด้วย รูปแบบธุรกิจของบริษัทที่มีการผลิตครบวงจร ตลอดจนการมีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและบรรเทาความเสี่ยงของภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีนและความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นจะสร้างความกังวลต่อภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในระยะอันใกล้นี้

สถานะทางการเงินของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สอ่อนแอลงแต่คาดว่าจะดีขึ้นได้ในระยะปานกลาง รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 12.2% จาก 142,762 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 เป็น 160,295 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการควบรวมกิจการในช่วงปี 2554 ถึงครึ่งแรกของปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงจาก 8.2% ในปี 2554 เหลือ 5.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจ PTA ในเอเซีย ประกอบกับอัตรากำไรของ PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่อ่อนตัวลงทั่วโลก อัตราการทำกำไรของบริษัทในรูปของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันของการผลิตลดลงจาก 128 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2554 เหลือ 82 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555

นอกจากนี้ การรวมธุรกิจ MEG ในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีผลประกอบการที่ดีเข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัทตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 มีส่วนช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัท อัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ของธุรกิจ MEG ในอเมริกาเหนือ อยู่ในระดับสูงกว่า 30% อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตรากำไรของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินสำหรับ PTA ในภูมิภาคเอเซียและจากวิกฤตเศรษฐกิจในทวีปยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 14,022 ล้านบาทในปี 2554 และ 8,544 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 7.6 เท่าในปี 2554 เป็น 3.6 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งสะท้อนถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นและกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสภาพคล่องที่ดี โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้น 6,543 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ของบริษัทย่อยอีกประมาณ 23,092 ล้านบาท ซึ่งใช้สำหรับสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

การลงทุนในช่วงปี 2554 ถึงครึ่งแรกของปี 2555 ส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สอ่อนแอลง โดยเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 32,068 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 80,013 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อการลงทุน เงินกู้ของบริษัทที่มีการควบรวมกิจการเข้ามาและเงินกู้สำหรับหมุนเวียนในกิจการ ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มจาก 49.9% ณ สิ้นปี 2553 เป็น 57.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลง บริษัทอาจจะชะลอการลงทุนในกิจการใหม่ไปจนถึงหลังปี 2557 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงขยายกำลังการผลิตสำหรับโครงการเดิมตามแผนต่อไปซึ่งรวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต PET ในสหรัฐฯ (โครงการ Alphapet 2) ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 ล้านตัน ณ สิ้นปี 2557 การชะลอการลงทุนน่าจะช่วยปรับให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้น ทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับ 50%-55% ต่อไปข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ