ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 172.79 จุด หรือ 1.35% ปิดที่ 13,009.68 จุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 18.12 จุด หรือ 1.30% ปิดที่ 1,409.15 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 40.30 จุด หรือ 1.38% ปิดที่ 2,966.85 จุด
แม้ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำมาก เนื่องจากนักลงทุนหลายรายยังอยู่ในช่วงหยุดพักการซื้อขายเพื่อเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้า แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นนิวยอร์กยังคงสามารถปิดการซื้อขายได้อย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดเหนือระดับ 1,300 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. ด้านดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดบวกเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งมีช่วงเวลาซื้อขายสั้นกว่าปกติ หรือเพียง 3 วันครึ่งนั้น ทั้ง 3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 3% ซึ่งนับว่าแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการที่ตลาดถูกปกคลุมด้วยสถานการณ์ไม่แน่นอนต่างๆจากภาวะหน้าผาการคลัง
ทั้งนี้ ตลาดวอลล์สตรีทปิดทำการซื้อขายในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเนื่องในวัน Thanksgiving และเปิดทำการครึ่งวันในวันศุกร์ Black Friday ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นเทศกาลจับจ่ายซื้อสินค้าสำหรับวันหยุดช่วงสิ้นปีในสหรัฐ
ภาวะการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวสูงขึ้น หลังจากที่หุ้นบางตัวในกลุ่มตกลงในช่วงก่อนหน้านี้จนมีราคาที่น่าดึงดูดในสายตาของนักลงทุนและกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มนี้
นอกจากนี้ หุ้นค้าปลีกก็ดึงดูดแรงซื้อเช่นกัน เนื่องจากชาวอเมริกันแห่กันไปจับจ่ายซื้อสินค้าลดราคาตามห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเนื่องในวัน Black Friday โดยเทอร์รี ลุนด์เกรน ประธานกรรมการและซีอีโอของห้างฯเมซี่ส์ ระบุว่า สาขาหลักของเมซีส์ในนิวยอร์กมีลูกค้าสูงทำสถิติเมื่อเปิดให้บริการเมื่อวันศุกร์ ซึ่งทางห้างฯได้เปิดให้บริการในเวลาเที่ยงคืนตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ภาพการแห่ซื้อสินค้าดังกล่าวได้เพิ่มความหวังให้กับนักลงทุนว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคจะแข็งแกร่งในสัปดาห์ท้ายๆของปีนี้ และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา เนื่องจากการใช้จ่ายผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% หรือสองในสามของระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ข่าวจากฝั่งยุโรปก็ช่วยคลายความวิตกให้กับนักลงทุน เมื่อกรีซเผยว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ผ่อนคลายเป้าหมายในการปรับลดหนี้สำหรับกรีซ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า กลุ่มผู้ให้กู้ใกล้บรรลุข้อตกลงในการให้เงินช่วยเหลืองวดใหม่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อกรีซ ยูโรโซน และเศรษฐกิจทั่วโลกแล้ว