สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 6.5 ปี) LB137A (อายุ 0.7 ปี) และ LB176A (อายุ 4.6 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 8,167 ล้านบาท 7,062 ล้านบาท และ 6,176 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB12D11A (อายุ 14 วัน) CB13221B (อายุ 91 วัน) และ CB12D20C (อายุ 28 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 40,098 ล้านบาท 32,727 ล้านบาท และ 25,959 ล้านบาท ตามลำดับ
ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP135A (AAA)) มูลค่าการซื้อขาย 804 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท บ้านปู จำกัด มหาชน (BANPU184A (AA-)) มูลค่าการซื้อขาย 564 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP173A (AA- (tha))) มูลค่าการซื้อขาย 345 ล้านบาท ตามลำดับ
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในตราสารอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ในช่วง -1 ถึง -2 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตราสารอายุ 1 เดือน ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยสถานการณ์ในยุโรปได้กลับมาสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนอีกครั้ง หลังจากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศฝรั่งเศสลงจากที่ระดับ AAA ลงสู่ระดับ Aa1 พร้อมทั้งให้แนวโน้มเป็นเชิงลบ จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มแย่ลง และนอกจากนี้นักลงทุนยังคงจับตาผลการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปว่าจะมีมาตรการใดออกมาแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป
สำหรับปัจจัยในประเทศ สภาพัฒน์ฯได้แถลงตัวเลข GDP ของไตรมาส3 ปี 2555 ว่าขยายตัว 3.0% ซึ่งชะลอตัวจากในไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัว 4.4% นอกจากนี้การที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลมาจากผลการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนค่อนข้างมาก โดยมีค่า BCR อยู่ที่ 3.04 เท่าของวงเงินประมูล และในส่วนของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของปีนี้ ตลาดคาดว่า กนง.น่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 5,147 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิถึง 6,645 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อย (Individual) มียอดขายสุทธิ 20 ล้านบาท