ในปี 56 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ และจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 15% ใกล้เคียงปีนี้ โดยปัจจุบันมีงานในมือ (backlog) ที่ 860 ล้านบาท รับรู้ในไตรมาส 4/55 ราว 388 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้ปี 56 ทั้งหมด และในช่วงสัปดาห์นี้บริษัทเตรียมประมูลงานใหม่เป็นงานเสาเข็มมูลค่าหลัก 100 ล้านบาท
"ตั้งแต่เม.ษ.ที่ค่าแรงขึ้น 300 บาท ทำให้โครงการภาคเอกชนชะลอลงเพราะต้นทุนและราคาขายเปลี่ยน การออกโปรเจกต์ที่จะเปิดประมูลก็ช้าลง มีผลกระทบถึงต้นไตรมาส 3 แต่ตอนนี้ไม่กระทบแล้วราคานิ่งแล้ว...ไตรมาส 4 ไม่ต้องตั้งสำรองแล้ว จึงเชื่อว่าจะทำให้ทั้งปีมีกำไรขยับขึ้นมาแต่อาจไม่เท่ากับก่อน โดย 9 เดือนกำไรที่ 30 ล้านบาท" นายชเนศวร์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจรับเหมาฐานรากในไตรมาส 4/55 มีทิศทางเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้างและงานฐานรากประเภทเสาเข็มเจาะได้เข้าสู่ตลาดฯอย่างต่อเนื่อง จากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และงานทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ซึ่งจะเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี 55 ถึงปี 56 ขณะเดียวกันงานอาคารสูงของภาคเอกชนก็ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ
“ไตรมาสสุดท้ายของปีเราจะได้เห็นงานรับเหมาคึกคักมากขึ้น รวมทั้งงานฐานราก ที่เริ่มไหลเข้าตลาดอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3 จะเห็นได้จากตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา PYLON ได้รับงานใหม่แล้วมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/55 เป็นต้นไป ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าวมีทิศทางดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมาที่ยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของโครงการต่างๆ ที่รอดูความชัดเจนของผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และความชัดเจนของราคาประเมินที่ดินใหม่ ดังนั้น ในปีนี้จึงยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ตามที่เคยวางไว้"นายชเนศวร์ กล่าว
PYLON รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/55 บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างรวมอยู่ที่ 214.44 ล้านบาท มีต้นทุนจากการรับจ้าง 233.19 ล้านบาท (รวมสำรองขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างของบริษัทย่อย 39.35 ล้านบาท) มีค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหารรวม 13.16 ล้านบาท มีขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 12.86 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนแรกบริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างรวม 794.99 ล้านบาทมีต้นทุนจากการรับจ้าง 726.88 ล้านบาท (รวมสำรองขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างของบริษัทย่อย 42.66 ล้านบาท) มีค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร รวม 53.31 ล้านบาท (รวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทย่อยที่ตั้งเพิ่มขึ้นสำหรับบมจ.พีเออี(ประเทศไทย)(PAE)จำนวน 18.2 ล้านบาท และการลดลงของค่าปรับงานล่าช้ารวม 6.73 ล้านบาท) ทำให้มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 29.97 ล้านบาท
ไตรมาส 3/5 ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเกิดจากบริษัทลูกของ PYLON ซึ่งได้รับรู้ผลกระทบต่างๆ ไปหมดเรียบร้อยแล้วในไตรมาสนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่บริษัทลูกได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม หรือปัญหาราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปัญหานโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของภาครัฐ ซึ่งเป็นการบันทึกการขาดทุนทางบัญชีไว้ล่วงหน้าถึงแม้โครงการจะยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวทำให้ PYLON ต้องบันทึกการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทลูกด้วย
"เมื่อบันทึกผลขาดทุนจากบริษัทลูกไว้แล้ว จึงเชื่อว่าในไตรมาส 4/55 บริษัทฯ น่าจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/55 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ และงานอื่นๆ ที่ไหลเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างดี" นายชเนศวร์ กล่าว