กองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ในสัดส่วน 87%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบด้วย เงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank , เงินฝากประจำ Union Nationl Bank , ECP ค้ำประกันโดย VTB Bank และ MTN ออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ส่วนที่เหลือลงทุนตราสารในประเทศ ประเภทเงินฝาก ตราสารการเงินระยะสั้นธนาคารพาณิชย์ไทย ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทย ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี โดยไม่เสียภาษี
นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 3 ( KTFIX3M3) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 อายุโครงการ 3 เดือน ประเภท Roll Over เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 64% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี
สำหรับภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เคลื่อนไหวค่อนข้างแคบโดยเปลี่ยนแปลง -2 ถึง +1 basis points ส่วนตราสารระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น 1 — 4 basis points เนื่องจากในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 55 จะมีพันธบัตรระยะกลางถึงยาว ทยอยเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้จะมีการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.75% แต่ในระยะ 3 เดือนข้างหน้า มีโอกาสสูงที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก อย่างน้อยร้อยละ 0.25% เพื่อลดแรงกดดันจากกระแสเงินทุนไหลเข้า และเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภาวะการชะลอตัวของภาคการส่งออกของไทย โดยปัจจัยที่ต้องจับตาคือ การยืดระยะเวลาการลดหย่อนภาษีของสหรัฐอเมริกา และการแก้ปัญหาของกลุ่มยูโรโซน ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับค่าเงินบาทตลอดช่วงที่ผ่านมาแกว่งตัวแคบในช่วง 30.65 — 30.75 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยแกว่งตัวตามค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งตลาดเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ หลังจากที่ผ่านมา ตลาดกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางการเมืองในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป ส่งผลให้ค่า USD Premium เริ่มฟื้นตัวเล็กน้อย และส่งผลให้ผลตอบแทนในสกุลเงินบาทภายหลังปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ