ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog)ทั้งหมด 400-500 ล้านบาท
ในปีหหน้าบริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนโครงการประเภทคอนโดมิเนียมอาจจะมีการพัฒนาเพิ่มเติมหากเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มได้ ซึ่งอาจจะทำให้ปี 56 สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อาจจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมที่อยู่ในระดับ 0.55% เนื่องจากต้องรวางเงินมัดจำไว้ที่ดินหลายแห่ง และต้องนำเงินไปซื้อที่ดิน อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ไม่ให้เกิน 1%
นายสมเชาว์ กล่าวว่า บริษัทมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีผลกระทบบ้างหากมีข่าวไม่ดีออกมา อย่างเรื่องของอุทกภัยหากเกิดขึ้นก็อาจจะมีผลกระทบในระยะสั้นๆ หรือเรื่องมาตรการลดภาษีบ้านหลังแรกที่จะสิ้นสุดลงในปลายปี 55 นี้จะส่งผลกระทบต่อการซื้อบ้านเพียงเล็กน้อย เพราะมองว่าไม่ได้สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้าน
ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างนั้น ปัจจุบันมีการขาดแคลนแรงงานในทุกอุตสาหกรรม แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะได้มีการพัฒนาฝีมือของแรงงานให้มากขึ้นและนำเครื่องจักรมาใช้ในโครงการมากขึ้น โดยค่าแรงงานที่ปรับเป็น 300 บาท และค่าวัสดุอุปกรณ์ที่สูงขึ้นเป็นผลกระทบให้ต้องขึ้นราคาของโครงการต่างๆในปีนี้ 5-10% และคาดว่าปีหน้าน่าจะมีการปรับขึ้นอีก